ความภูมิใจของธุรกิจเกษตร กับผักออร์แกนิค ส่งมอบคุณค่าสู่ผู้บริโภค

เราจะเห็นว่าพืชผักผลไม้ที่เราบริโภคกันในยุคปัจจุบันนี้ มันมีสารพิษจากยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีต่าง ๆ จากปุ๋ยเจือปนมาด้วย เพราะในการทำการเกษตรเพื่อจำหน่ายสู่ท้องตลาดนั้นจำเป็นที่จะต้องมีผลผลิตที่ดี ทั้งความสวยงามความดกของพืชผัก ขนาดรูปลักษณ์ของผักผลไม้ที่ได้มาตรฐานและสีสันสดใสที่ชวนให้น่ารับประทาน ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงได้ยากที่ชาวเกษตรกรจะไม่ใส่ปุ๋ยเคมี หรือฉีดยากำจัดวัชพืช หรือยาฆ่าแมลงในการทำการเกษตร เพราะพวกเค้าต้องการผลผลิตที่ดีที่สร้างรายได้สมกับที่ลงทุนลงแรงไป

ซึ่งวิวัฒนาการทางด้านการเกษตรในยุคสมัยใหม่ ก็ได้มีการค้นคว้าวิจัย พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสาน อย่างเช่น การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ที่กำลังเป็นที่นิยม ที่ไม่ต้องใช้ดินในการปลูก แต่ปลูกในน้ำที่ละลายธาตุสารอาหารต่าง ๆ ของพืช ให้พืชดูดซึมไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ดูเหมือนจะปลอดภัย แต่หากไม่มีการควบคุมที่ดีจากเกษตรกร ก็จะมีสารไนเตรตที่สูงติดไปกับผักเมื่อไปรวมตัวกับสารอื่นในร่างกายเราแล้ว จะก็ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ จึงนับว่ายังไม่มีความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคอย่างแท้จริง

ดังนั้นจึงได้มีการรณรงค์การปลูกผักแบบแนวเกษตรอินทรีย์ ที่ปราศจากสารเคมีขึ้นมา ที่เรียกว่า ออร์แกนิค (Organic) หนึ่งในความภูมิใจของชาวเกษตรกรร่วมกับสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ ที่ได้ส่งมอบคุณค่า ผักปลอดสารพิษสู่ผู้บริโภค ซึ่งวันนี้เราจะพาคุณไปรู้จัก ผักออร์แกนิค กันว่ามันเป็นอย่างไร

มารู้จักผักออร์แกนิคกัน

ผักออร์แกนิค คือ ผักเกษตรอินทรีย์ที่ปลูกด้วยกระบวนการทางธรรมชาติทั้งหมด ปราศจากการใช้สารเคมี ทั้งจากยาฆ่าแมลง ยากำจัดศัตรูพืช หรือแม้แต่ปุ๋ยเคมีต่าง ๆ โดยเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยหมักแทน และใช้พืชผักจากธรรมชาติมาทำเป็นสารกำจัดวัชพืชแทน ดังนั้นเราจึงมั่นใจได้ตั้งแต่กระบวนการเตรียมดินให้ปราศจากสารเคมีที่ตกค้างอยู่ในดินเป็นเวลาถึง 3 ปี จนถึงกระบวนการผลิตที่ใช้ธรรมชาติทดแทนสารเคมีทั้งหมด จนถึงกระบวนการเก็บเกี่ยว ที่ต้องได้รับการรับรองจากองค์การตรวจสอบอิสระ Accredited ของสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ ที่ต้องทำการตรวจสอบผักเสียก่อนแล้วจึงประทับตราว่าผักนี้ปลอดภัยจากสารพิษและสารเคมี 100 เปอร์เซ็นต์ ก่อนนำออกไปจำหน่ายสู่ผู้บริโภคต่อไป

และนี่จึงนับว่าเป็นความภูมิใจสำหรับวงการเกษตร ที่สามารถเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค ที่สำคัญผู้คนทั่วโลกให้การตอบรับดีมาก ผักออร์แกนิคจึงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เป็นธุรกิจการเกษตรที่สร้างรายได้ให้กับชาวเกษตรกรไม่น้อย เพราะนอกจากความต้องการในประเทศไทยแล้วยังสามารถส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้อีก และสำหรับใครที่สนใจธุรกิจนี้ อยากปลูกผักออร์แกนิคดูก็เป็นการสร้างรายได้ที่ดีอีกช่องทางหนึ่ง ที่สำคัญได้อยู่กับธรรมชาติก็เป็นการใช้ชีวิตที่สงบสุขราบรื่นไปอีกแบบ


เกษตรประยุกต์ กับการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ที่กำลังเป็นกระแสนิยมในบ้านเรา

ด้วยวิวัฒนาการโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง แม้แต่วงการเกษตรกรรมในบ้านเรายังได้มีการพัฒนาไปไกล จากพืชผักที่เราเคยปลูกได้แค่บนพื้นดิน อาศัยกระบวนการทางธรรมชาติจากดิน น้ำ และแสงแดด เพื่อให้พืชเจริญเติบโตออกดอกออกผล ปัจจุบันได้มีการคิดค้นเกษตรแนวประยุกต์ ที่สามารถปลูกพืชผักได้โดยไม่ต้องใช้ดิน ที่มีชื่อทางการเกษตรว่า ไฮโดรโปนิกส์ ซึ่งพันธุ์ผักที่ใช้ปลูกส่วนมากจะเป็นผักเมืองหนาวตระกูลผักกาดหอม หรือผักสลัดต่าง ๆ เช่น กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค เป็นต้น ซึ่งในวันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับเกษตรกรรมแนวใหม่นี้ ว่ามันเป็นอย่างไร มีข้อดีและข้อควรระวังอะไร

การปลูกพืชผักไฮโดรโปนิกส์

 เป็นการปลูกพืชผักในน้ำหรือวัสดุปลูกทดแทนรูปแบบอื่น ๆ ที่ใช้สารสกัดทางเคมีที่เลียนแบบแร่ธาตุต่าง ๆ ตามธรรมชาติที่พืชต้องการ มาเป็นอาหารของพืชในการเจริญเติบโตแทนกระบวนการทางธรรมชาติ โดยการละลายน้ำฉีดพ่น หรือปลูกพืชผักลงในภาชนะที่มีน้ำผสมสารละลายอาหารพืชนี้ โดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงเหมือนกับการปลูกพืชผักลงดินแบบเดิม ๆ

ข้อดีของการปลูกพืชผักแบบไฮโดรโปนิกส์

 ข้อดีของมันคือ ขั้นตอนการปลูกนั้นไม่ยุ่งยาก ง่ายและสะดวก ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่บริเวณกว้างเหมือนการปลูกพืชผักลงดิน สามารถปลูกในบ้าน และในบริเวณที่มีพื้นที่แคบหรือจำกัดได้

ข้อควรระวังในการปลูกพืชผักแบบไฮโดรโปนิกส์

เนื่องจากสารอาหารพืชที่ถูกสกัดขึ้นมามีส่วนผสมของไนเตรต ซึ่งเป็นองค์ประกอบของไนโตรเจนสูง โดยพืชจะดูดซึมสารดังกล่าวนี้ได้ตลอดเวลา เนื่องจากแช่อยู่ในน้ำที่มีสารดังกล่าว โดยนำสารไนเตรตนี้ไปหล่อเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ และสะสมไว้ในใบและลำต้น ซึ่งเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่บริโภคเข้าไป เนื่องจากไนเตรตจะถูกย่อยให้กลายเป็นไนไตรท์ เมื่อรวมกับสารอาหารอื่น ๆ ที่เราบริโภคเข้าไปด้วย จะกลายเป็นสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งนั่นเอง ดังนั้นจึงต้องมีการควบคุมให้พืชรับสารละลายธาตุอาหารนี้เข้าไปในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละวัน ไม่เช่นนั้นไนเตรตจะเข้าไปสะสมในพืชผักจนเกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ ซึ่งเกษตรกรจะทำการลดไนเตรต โดยงดเว้นการให้อาหารพืชจากสารละลายธาตุอาหารพืชที่มีไนเตรตนี้ 1-2 วันก่อนการเก็บเกี่ยวพืชผักไปขายสู่บริโภค

สรุปก็คือการปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์นี้เป็นนวัตกรรมที่ก้าวล้ำทางการเกษตร ที่มีความสะดวกง่ายดายและมีผลตอบแทนที่ดี ที่สำคัญปลอดจากสารพิษจากยาฆ่าแมลง แต่ต้องมีการควบคุมสารไนเตรตจากสารละลายอาหารพืช ไม่ให้พืชรับเข้าไปมากจนสะสมในใบและลำต้น ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของเกษตรกรแล้ว

 ดังนั้นเราในฐานะผู้บริโภค ก็ควรเลือกซื้อผักไฮโดรโปนิกส์จากแหล่งปลูกหรือจำหน่ายที่เชื่อถือได้ และมีมาตรฐานที่ดี เพราะผักไฮโดรโปนิกส์ตระกูลผักสลัด ล้วนเป็นผักที่มีประโยชน์อุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย


ชาวนา กระดูกสันหลังของชาติ เหตุใดสังคมไทยละเลย ต้องประสบปัญหาความยากจนมายาวนาน

อาชีพชาวนาที่สังคมไทยในยุคเก่าก่อนได้ยกย่องให้เป็นอาชีพที่มีเกรียติ มีความสำคัญต่อความอุดมสมบูรณ์ของประเทศชาติ เปรียบชาวนาเป็นดั่งกระดูกสันหลังของชาติ แต่เหตุใดวันนี้ ชาวนามากมายหลายครัวเรือนจึงถูกสังคมไทยละเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสลดใจอย่างมาก ที่ชาวนาส่วนใหญ่ต้องประสบปัญหาความยากจนต่อเนื่องอย่างยาวนาน โดยไม่ได้มีการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังสักที ทั้ง ๆ ที่ชาวนาต้องทำงานตรากตรำ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน เหน็ดเหนื่อยอย่างสาหัส แต่กลับได้ผลตอบแทนที่มีรายได้ขาดทุนในทุก ๆ ปี จึงทำให้ชาวนาส่วนใหญ่ประสบกับปัญหาหนี้สินต่อ จนต้องโดนยึดที่นา ยึดบ้านช่อง ก็มีให้เห็นกันมากมายตามหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ในสังคมไทยปัจุบันนี้ หนำซ้ำปัญหาที่ต่อเนื่องกันจากพ่อสู่ลูก ลูกสู่หลาน เนื่องจากปัญหาความยากจน จึงต้องใช้ชีวิตอยู่กันแบบแล้งแค้น ในยะถาชีวิตแบบเดิม ๆ ซึ่งผิดกับชาวนาในประเทศอื่น ๆ ทางฝั่งยุโรปและอเมริกา ที่มีคุณภาพชีวิตและรายได้ที่ดี ผิดกับชาวนาในบ้านเราอย่างมากทีเดียว และถ้ารัฐบาลไม่เข้ามาช่วยเหลือแก้ปัญหาความยากจนนี้อย่างจริงจัง แน่นอน ปัญหาชาวนาถูกสังคมไทยมองข้ามและละเลยจะไม่มีวันหมดไปจากประเทศชาติอย่างแน่นอน

เหตุใดชาวนาในประเทศไทยจึงยากจน

เกิดจากชาวนาส่วนใหญ่มีความรู้น้อย ไม่สามารถจำหน่ายข้าวสู่ผู้บริโภคโดยตรง จึงต้องนำข้าวไปขายให้กับโรงสี ที่รับซื้อหรือพ่อค้าคนกลางเท่านั้น ทำให้ไม่มีทางเลือกทางการค้าที่ดีต่อตนเอง ซึ่งกลไกการตลาดข้าวนั้น ชาวนาเป็นผู้ลงทุนในการปลูกข้าวมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มากมาย กว่าจะได้ข้าวไปขายให้กับโรงสี ซึ่งทำการขัดสีข้าวแล้วไปขายให้กับโรงงานผู้จำหน่ายข้าวทั้งส่งออกหรือจำหน่ายในประเทศต่อไป  โดยราคาข้าวถูกกำหนดจากพ่อค้าคนกลาง ชาวนาไม่สามารถตั้งราคาได้เอง จึงทำให้ขายข้าวขาดทุนในทุก ๆ ปี เพราะต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างสูง  และสาเหตุเหล่านี้นี่เอง จึงทำให้ชาวนามีฐานะความเป็นอยู่ที่แล้งแค้นในสังคมยุคปัจจุบัน

แนวทางช่วยเหลือชาวนา

รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยเหลือและแก้ปัญหาความยากจนของชาวนาอย่างจริงจังและจริงใจโดยการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาให้ความรู้ และคอยให้คำปรึกษาช่วยเหลือชาวนา รวมถึงดูแลไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง และพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวนา ด้วยการสนับสนุนด้านเงินทุน ให้ความรู้ความสามารถ และโอกาสที่ดีในด้านต่าง ๆ ให้สวัสดิการกับชาวนา รวมถึงลูกหลานของชาวนา ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมาได้

ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนควรมีสามัญสำนึกในอาชีพที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ ควรยกย่องให้เกรียติอาชีพชาวนา ลองนึกดูว่าถ้าไม่มีอาชีพชาวนาเลย เพราะไม่มีใครอยากยากจนประเทศชาติจะเป็นอย่างไร และรัฐบาลเองก็ควรมีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาความยากจนของชาวนานี้อย่างจริงจัง ให้ชาวนาหลายล้านครัวเรือนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


เลิกตามกระแสแบบผิด ๆ ไข่ดิบดองน้ำปลาพบโทษมากกว่าประโยชน์แนะกินสุกดีกว่า

เชื่อว่าหลายคนชอบรับประทานไข่เนื่องจากไข่มีรสชาติอร่อย และมีสารอาหารมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ไข่กลายเป็นเมนูหลักประจำบ้านของหลาย ๆ ครอบครัว การรับประทานไข่เป็นประจำให้เหมาะสมกับช่วงวัยของแต่ละคนนั้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเด็กไปจนถึงวัยรุ่นสามารถทานไข่ได้ถึงวันละ 1 ฟอง ส่วนคนวัยทำงานการทานไข่สัปดาห์ละ 3 – 4 ฟองถือว่ากำลังดี แต่ในคนวัยชรานั้นไม่ควรทานไข่เกินสัปดาห์ละ 2 ฟอง เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อไขมันและระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

เป็นที่ทราบกันดีว่าไข่ฟองเล็ก ๆ นั้นมีประโยชน์มากมายถ้าทานในปริมาณที่พอเหมาะ และที่สำคัญต้องปรุงให้สุก 100% ซึ่งประโยชน์ของไข่มีดังนี้ ช่วยบำรุงสมองทำให้มีความจำดีขึ้น การรับประทานไข่ไก่สามารถช่วยเรื่องการลดน้ำหนักได้เพราะทำให้อิ่มนานและไม่หิวบ่อย ไข่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงเนื่องจากมีโปรตีนสูงซึ่งเหมาะกับทุกคน นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยวิตามินที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระลดความเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อมจากการถูกทำลายด้วยแสงยูวี และที่สำคัญไข่เป็นแหล่งอาหารที่มีราคาถูก

สำหรับต่างประเทศไข่เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน ซึ่งแต่ละประเทศนั้นจะมีเมนูไข่ที่ได้รับความนิยมไม่ว่าจะนำมาต้ม นึ่ง ทอด หรือแม้กระทั่งรับประทานแบบดิบ ๆ โดยเมนูไข่ดิบนั้นได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น วิธีการรับประทานก็ง่ายดายมาก ๆ เพียงแค่ตอกไข่ดิบใส่ข้าวร้อน ๆ ทานกับโชยุหรือซอสญี่ปุ่นเพียงแค่เมนูง่าย ๆ เช่นนี้ก็สามารถเป็นเมนูอันเลิศรสสำหรับชาวญี่ปุ่นได้แล้ว แต่มีข้อแม้ว่าไข่ที่จะนำมารับประทานแบบดิบ ๆ จะต้องเป็นไข่ไก่สดเท่านั้น

ความนิยมทานไข่ดิบในเมืองไทยก็มีเช่นกัน แต่จะอยู่ในเฉพาะกลุ่ม เนื่องจากการความกังวลเรื่องความสะอาดทำให้เมนูไข่ดิบไม่เป็นที่นิยมในกลุ่มคนทั่วไป แต่มีกระแสเมื่อไม่นานมานี้เรื่องการนำไข่ดิบมารับประทาน โดยได้มีการส่งต่อผ่านโลกโซเชียลเรื่องการทำเมนูไข่ดิบดองน้ำปลา ซึ่งวิธีการก็ง่าย ๆ โดยการต้มซีอิ๊วหรือน้ำปลาเจือจางกับน้ำ แล้วนำน้ำตาลปี๊บหรือน้ำตาลทรายใส่ลงไปตามด้วยน้ำส้มสายชูนิดหน่อย ปรุงรสตามชอบ จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำเฉพาะไข่แดงลงไปแช่ทิ้งไว้ 1 คืนในตู้เย็นก็นำมาทานได้ วิธีการทำง่าย ๆ เช่นนี้ ทำให้วัยรุ่นไทยนิยมทำรับประทานกันอย่างกว้างขวาง จนหลายหน่วยงานด้านสุขภาพต้องออกมาแสดงความเป็นห่วง

เนื่องจากไข่ดิบมีโปรตีนชนิดปฏิชีวนะเป็นส่วนประกอบ ซึ่งโปรตีนชนิดนี้จะไปขัดขวางการทำงานของวิตามินหลายชนิดทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซับวิตามินได้ นอกจากนี้การรับประทานไข่ดิบยังส่งผลให้เกิดภาวะท้องร่วงได้ ดังนั้นการรับประทานไข่ที่ดีที่สุดคือ นำมาปรุงให้สุกเสียก่อนเพื่อสุขอนามัยที่ดี

 


โฆษณาเกินจริง อังกาบหนู ทุเรียนเทศ บริโภคมากเกินไปส่งผลเสียต่อสุขภาพระยะยาว

ความเจ็บป่วยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดจึงเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “ การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ” แต่เมื่อเกิดโรคแล้วไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายแรง หรือไม่ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการรักษา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าการรักษาด้วยวิทยาการสมัยใหม่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมากทำให้ผู้ป่วยหลายคนหันมาพึ่งการรักษาตามหลักธรรมชาติ โดยการใช้สมุนไพรมักจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยชาวไทย

ถึงแม้ว่าวงการการแพทย์สมัยใหม่จะพัฒนาด้านการรักษา และยาปฏิชีวนะไปมากแต่ยาสมุนไพรก็ยังถูกใช้มากเช่นกัน เนื่องจากยาแผนปัจจุบันผลิตมาจากสารเคมีจึงมีผลข้างเคียงส่งผลต่อสุขภาพและอวัยวะบางส่วน ซึ่งยาแผนปัจจุบันนั้นออกฤทธิ์ในระยะเวลาอันรวดเร็วจึงส่งผลต่อการปรับสมดุลในร่างกาย ดังนั้นการใช้ยาสมุนไพรร่วมด้วยจะเข้าไปช่วยเรื่องการปรับสมดุล และยังช่วยต้านอนุมูลอิสระลดผลข้างเคียงจากสารเคมีลงได้ แต่เหรียญมี 2 ด้านเสมอซึ่งสมุนไพรก็เช่นกัน

หลายปีมานี้เรามักจะเห็นข่าวสารเรื่องการแห่แหน และตื่นตัวของชาวไทยต่อโฆษณาของสมุนไพรต่าง ๆ ถึงแม้ว่าสมุนไพรบางชนิดนั้นยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาก็ตาม แต่ชาวไทยส่วนใหญ่มักเชื่อคำโฆษณาแบบปากต่อปากส่งผลให้เกิดความนิยมแบบเฉียบพลันจนสมุนไพรชนิดนั้นขาดตลาดและมีราคาสูงขึ้น

ถ้ายังจำกันได้ราว ๆ 3 – 4 ปีที่แล้วเกิดกระแสทุเรียนเทศจากคำโฆษณาซึ่งไร้ที่มาว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ทำให้คนไทยบางกลุ่มต่างพากันหาซื้อต้นไม้ชนิดนี้ เนื่องจากสรรพคุณที่ได้ยินมาว่า ช่วยลดความดันโลหิต ลดอาการปวดเกร็งในช่องท้อง ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยรักษาอาการปวดข้อ รูมาตอยด์ ลดอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ แต่ไม่พบว่าใช้ทุเรียนเทศในการรักษามะเร็ง ความเข้าใจผิดนี้ทำให้หลายคนคิดว่าการบริโภคทุเรียนเทศในจำนวนมากอาจช่วยเรื่องมะเร็งได้ แต่การวิจัยพบว่าการบริโภคทุเรียนเทศในจำนวนมากอาจส่งผลเสียต่อไตในระยะยาวจนเกิดอาการไตวายเฉียบพลันได้

ล่าสุดได้ค้นพบพืชอีกหนึ่งชนิดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงนี้ เนื่องจากความเชื่อที่ว่าสามารถรักษาโรคได้อีกเช่นกันนั่นคืออังกาบหนู เป็นพืชประเภทวัชพืชที่ขึ้นอยู่ตามภูเขามีดอกสีเหลืองเรียกอีกอย่างว่าเสลดพังพอน โดยมีการระบุถึงสรรพคุณดังต่อไปนี้ ใบใช้แก้อาการปวดฟัน ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ใช้หยอดหูแก้หูอักเสบได้ สามารถแก้พิษงู และโรคปวดตามข้อ นอกจากนี้สารสกัดจากรากอังกาบหนูยังมีฤทธิ์ในการคุมกำเนิดได้อีกด้วย ซึ่งมีผลต่อการลดและระงับอสุจิในเพศชายอาจทำให้เป็นหมันได้เมื่อบริโภคในจำนวนมากเป็นเวลานาน ๆ

จะเห็นว่าทุกอย่างล้วนมี 2 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นยาปฏิชีวนะหรือยาสมุนไพรก็ล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นการบริโภคยาทั้ง  2 ประเภทนี้ควรอยู่ในการควบคุมของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

 


สุขภาพดีที่อยู่คู่บ้าน กับทางรอดของกระเทียมยุคเศรษฐกิจ 4.0

ข่าวสารด้านสุขภาพในยุคดิจิตอลได้ส่งตรงถึงมือ(ถือ) ของเราทุกคนได้อย่างรวดเร็ว แทบจะเรียกได้ว่าถ้าป่วยแบบกระทันหัน ก็สามารถหาอ่านวิธีแก้ไข หรือสืบค้นชนิดของยาเพื่อออกไปซื้อหามาบรรเทาอาการป่วยได้อย่างทันท่วงที และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ด้านสุขภาพก็มีให้เลือกอ่านได้อย่างมากมาย และเทรนด์ของการทานอาหารของคนไทยก็จะมีอาหารมื้อหลัก 3 มื้อแต่มักเน้นไปที่มื้อเย็น และโดยปกติแล้วครอบครัวคนไทยก็มักจะประกอบอาหารทานที่บ้านหากมีเวลา และกระเทียมก็เป็นหนึ่งในของติดครัวไทยที่มักขาดไปไม่ได้ เนื่องด้วยมีเมนูอาหารที่ทำทานได้ไม่ยาก โดยมีกระเทียมเป็นส่วนผสมอย่าง ไก่ผัดกระเทียม หมูผัดกระเทียม ผัดผักและผัดกะเพรา ที่ต้องใช้กระเทียมเป็นตัวนำก่อนเริ่มผัด และเมนูอาหารอื่น ๆ อีกมากมายสารพัดอย่างของอาหารไทยที่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบ ซึ่งกระเทียมนั้นถือเป็นพืชเศรษฐกิจและมีประโยชน์และสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายอย่างมากที่เราคนไทยควรรู้ไว้

กระเทียมกับคุณค่าทางโภชนาการและการป้องกันโรคต่าง ๆ

ข้อมูลเรื่องคุณค่าทางโภชนาการของกระเทียม จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะในภาครัฐเองก็ได้มีนโยบายสนับสนุน ในเรื่องของการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ เพื่อกระตุ้นให้คนไทยบริโภคอาหารอย่างถูกสุขลักษณะ และเป็นประโยชน์จากอาหารที่หุงหาได้ภายในครัวเรือน นั่นเป็นเรื่องที่เหมาะสมในการที่จะหยิบประโยชน์และคุณค่าทางโภชาการของกระเทียมมาบำรุงสุขภาพกันในทุกวัน เพราะกระเทียมนั้นมีประโยชน์มากมาย เรียกได้ว่าจากข้อมูลวิจัยก็มีมากถึงเกือบห้าสิบข้อเลยทีเดียว

แต่จะขอยกตัวอย่างสักสิบข้อที่โดดเด่นในการช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ดังนี้ คือ ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีจึงเหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ช่วยแก้อาการหอบ หืดและช่วยรักษาโรคหลอดลม ช่วยป้องกันการเกิดโรคไต รวมถึงช่วยป้องกันไข้หวัด ยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา ด้วยสรรพคุณที่ดีเหลือเกินขนาดนี้

จึงเป็นเรื่องน่ายินดีของคนไทยที่เรามีของดีอยู่ใกล้ตัว ด้วยข้อมูลจาก USDA Nutrient database ก็พบว่าคุณค่าทางโภชนาการของกระเทียมก็มีอย่างครบถ้วนในส่วนของวิตามินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น วิตามินบี1, 2 วิตามิน C และแร่ธาตุพวกแคลเซียม, ฟอสฟอรัส, เหล็ก, โซเดียม, โปตัสเซียม และยังมีสารอาหารที่น่าสนใจ อยู่อีก 2 ชนิดด้วยกัน คือ ซีลีเนียมและวิตามิน B1 ชนิดพิเศษ

ดังนั้นการทานกระเทียมจึงเป็นเรื่องที่คนไทยที่รักสุขภาพควรบริโภคให้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อตนเองและผู้เป็นที่รัก เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีขึ้นด้วยกัน แถมยังช่วยกันอุดหนุน สร้างรายได้ให้พี่น้องเกษตรกรคนไทยได้มีรายได้ที่ดีขึ้นกว่าเดิม