ถ้ามีเงินสักก้อนจะทำอะไรดี ที่ต่อยอดเงินและให้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร

สำหรับใครหลาย ๆ คนที่พากเพียรอุตสาหะทำงานมาจนมีเงินเก็บได้สักก้อนแล้ว กำลังมองหาหนทางว่าจะไปทำอะไรดีที่จะต่อยอดเงินก้อนนี้ให้งอกเงยขึ้นมาได้ หากจะนำไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ยก็ดีนะ มันไม่มีความเสี่ยงอะไร แต่ดอกเบี้ยที่ได้ก็น้อยนิด ซึ่งเชื่อว่า หลาย ๆ คนหาเงินมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก พอมาถึงช่วงหนึ่งของชีวิต ก็อยากจะพัก ทำงานให้น้อยลง และให้เงินทำงานแทนเราบ้าง แต่จะมีหนทางใดล่ะ ที่จะต่อยอดเงินของเราที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร วันนี้เรามีช่องทางสร้างรายได้ให้เงินงอกเงยด้วยช่องทางต่าง ๆ นี้ โดยไม่มีความเสี่ยงใด ๆ อยากรู้แล้วใช่ไหม งั้นเราไปดูกันเลย

ช่องทางสร้างรายได้ให้เงินต่อเงินแบบไม่มีความเสี่ยง

ซื้อสลากออมสิน ซึ่งมันคือการออมเงินชนิดหนึ่ง เหมือนการฝากเงินประจำ ซึ่งได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ธนาคารกำหนด แต่มีสิทธิ์ลุ้นรางวัลใหญ่ได้ทุกเดือน ซึ่งสูงสุดรางวัลละ 10 ล้านบาท 3 รางวัล เรามีสิทธิ์ถูกรางวัลได้ 36 ครั้ง ซึ่งรางวัลจะออกทุกวันที่ 16 ของเดือน โดยสลากออมสินนั้น ทางธนาคารจำหน่ายแบบมีอายุ 3 ปี หน่วยละ 50 บาท และเมื่อครบกำหนดระยะเวลา ก็จะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยกลับคืนมา การซื้อสลากออมสิน เหมาะกับผู้ที่ต้องการการลงทุนระยะยาว ต้องการความเสี่ยงต่ำ และเงินนั้นต้องเป็นเงินเย็น ไม่เดือดร้อนแบบต้องขายสลากออมสินหรือถอนเงินออกมาใช้ก่อนครบกำหนด 3 ปี ไม่เช่นนั้นแทนที่เราจะได้กำไร เรากลับต้องเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารนั่นเอง

การซื้อขายสกุลเงิน เป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนที่ดี เราสามารถนำเงินไทย ไปแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ มีความแข็งตัว อย่างสกุลเงินตรา นิวซีแลนด์-dollar, ออสเตรเลีย- dollar, สิงคโปร์-dollar สวิตเซอร์-franc สกุลยูโร ซึ่งเราสามารถทำกำไรได้ในทุกสัปดาห์เมื่อเกิดส่วนต่าง เช่น เราซื้อเงินสกุลนิวซีแลนด์ ตอนราคาต่ำสุดที่ราคา 21 บาท ใน 1 สัปดาห์ หากค่าเงินขยับขึ้นสูงสุดที่ 28 บาท เราก็นำไปแลกเงินไทยกลับมา ได้ส่วนต่างที่เป็นผลกำไรในแต่ละสัปดาห์ เพียงเท่านี้ก็สามารถแปลงเงินก้อนนี้ของคุณให้เพิ่มทวีคูณขึ้นและเกิดความมั่นคงได้

ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยการซื้อหรือเช่าอพาร์ทเม้นท์ที่มีทำเลใกล้ห้างสรรพสินค้า ใกล้สถานที่ท่องเที่ยว ให้ผู้อื่นเช่าต่อ เพื่อมีรายได้จากส่วนต่างของค่าเช่าในกรณีที่เราเช่าไม่ได้ซื้อ หรือถ้ามีเงินทุนมากหน่อยก็ลงทุนซื้อครั้งเดียวและมีรายได้ในระยะยาวไปเลย

และทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบความถนัดของแต่ละคน ใครสนใจแบบไหนก็ลองนำช่องทางต่อเงินเหล่านี้ไปใช้กันดู ทั้งนี้ควรศึกษาข้อมูลหรือปรึกษาผู้รู้ที่มีประสบการณ์โดยตรงให้ละเอียดและเข้าใจถ่องแท้ก่อนที่จะลงมือทำ เพื่อจะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดหรือความเสียหายต่อทรัพย์สินของคุณ


ลงทุนแบบไหนในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ ที่ไม่เจ๊ง และมีความเสี่ยงน้อย

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุควิกฤติ ข้าวยากหมากแพง ค่าครองชีพสูง รายได้แต่ละเดือนแทบไม่พอกับรายจ่าย เกิดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม คนรวยก็รวยเอาแบบไม่รู้จะเอาเงินไปเก็บที่ไหน ส่วนคนจนก็จนแบบชักหน้าไม่ถึงหลัง มีแค่ค่าเลี้ยงชีพให้อยู่ได้ไปวัน ๆ เท่านั้น ซึ่งปัญหานี้มีมานานมากและมันไม่เคยหมดไปจากสังคมไทย

ดังนั้นการจะลงทุนทำธุรกิจอะไรคุณจะต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน ว่ากลุ่มผู้บริโภคของคุณคือใคร หากเป็นกลุ่มคนรวยมีฐานะคุณก็จะต้องสร้างแบรนด์ที่ดี น่าเชื่อถือ สร้างสินค้าที่มีคุณค่าต่อความรู้สึกที่กลุ่มคนเหล่านี้พร้อมจะควักเงินจ่าย แต่หากเป็นกลุ่มคนรากหญ้า สินค้าและบริการนั้นจะต้องจำเป็นจริง ๆ ที่พวกเค้าจะต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่งในวันนี้เรามีแนวคิดในการทำธุรกิจให้เหมาะสมกับยุคเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน

แนวคิดการลงทุนไม่ให้เจ๊งในยุคเศรษฐกิจแบบนี้

1.เลือกกลุ่มผู้บริโภค

คุณต้องเลือกก่อนว่าต้องการขายสินค้าและบริการให้คนกลุ่มไหน คุณมีงบประมาณที่จะลงทุนเท่าไหร่  ที่เหมาะสมกับการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนั้นได้ เช่น คุณมีทุนอยู่ 30,000 คุณก็ต้องเลือกกลุ่มผู้บริโภคระดับรากหญ้าหรือปานกลาง ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าเค้าจะมาซื้อสินค้าและบริการของคุณ

2.วิเคราะห์และดูความต้องการของตลาด

 คุณต้องดูว่าตลาดผู้บริโภคนั้น ต้องการอะไรมากที่สุดในยุคเศรษฐกิจซบเซาแบบนี้ อะไรที่ยังคงขายได้ และจะไม่มีวันตกเทรนด์ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ในครัวเรือน เป็นต้น คุณจะต้องวิเคราะห์มันออกมาให้เห็นภาพชัดเจน

3.มีความชำนาญในธุรกิจที่จะทำ หากคุณมีความชำนาญในธุรกิจที่คุณทำ ก็จะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าพึงพอใจในสินค้าและบริการของคุณได้ แต่หากคุณรักชอบที่จะทำแต่ยังไม่มีความชำนาญก็ต้องฝึกฝนพัฒนาตนเองจนมีความเป็นมืออาชีพเสียก่อนถึงจะเปิดธุรกิจ อย่ากระโดดไปทำในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดเด็ดขาด

4.ศึกษาข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับธุรกิจ ดูความคุ้มค่า คุณต้องศึกษาถึงต้นทุนทั้งหมดที่ต้องลงทุนในครั้งแรก ในแต่ละวันแต่ละเดือน ว่ามันคุ้มค่าไหมกับรายได้ที่คุณจะได้กลับมา

5.วางแผนธุรกิจในทุกขั้นตอน

ตั้งแต่การเลือกทำเลที่ตั้งที่ดี อาจทำแบบสอบถามคนระแวกนั้นว่าหากมีธุรกิจหรือร้านค้าแบบนี้มาเปิด พวกเค้าจะเข้าไปอุดหนุนไหม รูปแบบร้านค้าหรือออฟฟิศของเรา จะต้องดูดีและเหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคของเรา

6.ทำการตลาดทุกช่องทาง

ไม่ว่าจะเป็นการแจกโบรชัวร์ การติดป้ายโฆษณา การโฆษณาทางออนไลน์ เพื่อทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักและสร้างยอดขายที่ดีได้

และทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวคิดในการทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงน้อยในยุคเศรษฐกิจซบเซา และโอกาสที่จะเจ๊งก็ไม่มี หากคุณนำแนวคิดทั้งหมดนี้ไปใช้ ที่สำคัญจะทำธุรกิจอะไร ควรลงทุนด้วยแรง และสมอง ให้มากกว่าการลงทุนด้วยเงิน


รู้ทันวิกฤตการเงิน คนส่วนใหญ่กำลังใช้เงินอนาคต จะรับมือป้องกันอย่างไร

เมื่อพูดถึงเงินอนาคต หลายคนคงอาจสงสัยว่ามันคืออะไร เงินอนาคตก็คือ เงินที่เราไม่ได้มีมันอยู่จริง มันไม่ใช่เงินของเรา แต่เป็นเงินที่คนอื่นให้หยิบยืมหรือเสนอมาให้เราใช้ก่อน โดยที่เราก็เข้าข้างตัวเองหรือเข้าใจผิดไปว่ามันคือเงินของเรา เช่น ทางสถาบันการเงินเสนอบัตรเครดิตที่มีวงเงินสูง ๆ มาให้เราใช้ ซึ่งจริง ๆ แล้วเงินที่เราใช้ไปจากบัตรเครดิต ไม่ว่าจะเป็นการกดเงินสด รูดซื้อสินค้า ถึงกำหนดเราก็ต้องใช้คืนเค้า และเสียดอกเบี้ยทั้งนั้น หรือเงินที่ได้มาจากเครดิตผู้ค้า ซึ่งเราเอาสินค้ามาขายได้ผลกำไรแล้ว แต่ยังไม่ได้ชำระคืนเงินทุนกลับไป เหล่านี้เป็นต้น จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเงินที่อยู่กับเราเป็นเงินของเราทั้งหมด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราควรจะใช้เงินที่เป็นผลกำไรหรือรายได้ที่เราหามาได้ และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเลยเถิดไปใช้เงินในอนาคต นั่นหมายถึงว่าสภาวะทางการเงินของเรากำลังแย่ และเข้าสู่วิกฤติแล้ว เราจึงควรมีแนวทางป้องกันระวัง ไม่ให้สภาวะทางการเงินนั้นเกิดปัญหา จนยากที่จะแก้ไข ซึ่งในวันนี้เรามีวิธีการที่จะป้องกันและรับมือไม่ให้การเงินของคุณต้องเผชิญกับปัญหาจนถึงขั้นวิกฤต มีอะไรบ้างไปดูกัน

ป้องกันและรับมือกับวิกฤตการเงิน

1.วางแผนการใช้จ่าย

โดยดูรายได้ของตนเอง และความสามารถในการใช้จ่ายที่จะทำได้ เช่นมีรายได้เดือนละ 30,000 บาท หักค่าผ่อนบ้าน 10,000 บาท ผ่อนรถ 8,000 บาท น้ำไฟ 1,000 บาท เหลือ 11,000 บาท ก็อาจเก็บไว้เป็น เงินออม 1,000 บาท เงินฉุกเฉิน 1,000 บาท เหลือ 9,000 บาท ก็เป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน

2.มีวินัยทางการเงิน

หลังจากที่เรารู้ชัดแล้วว่าจะต้องจัดสรรค์การเงินอย่างไร และมีงบใช้จ่ายได้เท่าไหร่ในแต่ละเดือน เราจะต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด ใช้จ่ายแบบพอเพียง ไม่ว่าสิ่งนี้มันยั่วยุให้เราอยากได้แค่ไหน เราจะต้องอดทนไม่ใช้จ่ายจนเกินตัว

3.หยุดใช้เงินอนาคต

ไม่ว่าสถาบันการเงินจะให้วงเงินบัตรคุณมากเท่าไหร่ก็ตาม หรือคุณจะได้เครดิตจากการทำการค้าร่วมกับบริษัทต่าง ๆ แต่สิ่งที่คุณจะต้องตระหนักที่สุด คือมันไม่ใช่เงินหรือรายได้ของคุณ คุณจะต้องหยุดใช้เงินเหล่านี้ แล้วใช้แต่เงินรายได้ที่คุณได้จัดสรรค์และวางแผนเอาไว้แล้วเท่านั้น คุณจะได้ไม่ต้องมาติดลบการเงินทีหลัง

4.ต่อยอดธุรกิจ หรือหารายได้เพิ่ม

การต่อยอดธุรกิจจะสามารถสร้างรายได้ให้กับคุณเพิ่มขึ้น เพื่อยกคุณภาพชีวิตและสถานภาพทางการเงินของคุณให้ดีขึ้น โดยที่คุณไม่ต้องใช้เงินอนาคต หรือห่างไกลการกู้หนี้ยืมสินได้นั่นเอง

และทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวทางการป้องกันและรับมือกับวิกฤตการเงินไม่ให้เกิดขึ้น และช่วยให้ห่างไกลจากการใช้เงินอนาคต ใครที่ไม่อยากให้การเงินของคุณมีปัญหาก็ลองนำวิธีการเหล่านี้ไปใช้ดู คุณจะได้ปลอดภัยจากการเป็นหนี้ ที่เอาเงินอนาคตมาใช้นั่นเอง


คุณอาจยังไม่รู้ เคล็ดลับในการทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตบนโลกออนไลน์ สร้างรายได้แบบไร้ขีดจำกัด

ยุคนี้หากใครไม่ทำธุรกิจออนไลน์ ก็พูดได้เลยว่าคุณกำลังตกเทรนด์ และพลาดโอกาสดี ๆ ในการสร้างรายได้ที่อาจมากเกินพอหรือแบบไร้ขีดจำกัดเลยก็เป็นได้ เพราะในยุคปัจจุบัน ประชากรเกือบทั้งโลกก็ล้วนเล่นโซเชียลกันทั้งนั้น ดังนั้นการสร้างฐานลูกค้าทางโลกโซเชียล จึงทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จัก และเติบโตได้รวดเร็วกว่าที่คุณจะทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่รอลูกค้ามาหาคุณ

ช่องทางต่าง ๆ  ในการทำการตลาดบนโลกออนไลน์เพื่อเพิ่มยอดขาย

1.การสร้างเพจ เป็นช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้ ด้วยการแนะนำผลิตภัณฑ์และบริการของเรา ให้ผู้คนรู้จักบนโลกโซเชียล โดยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์นั้น ด้วยการโพสต์ภาพผลิตภัณฑ์ การรีวิวจากผู้ใช้จริง การเขียนข้อความเชิญชวน ดึงดูดให้ผู้คนสนใจและติดตาม หรือจะเสียเงินโฆษณาเพจ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้พบเห็นเพจของเรา ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของคุณได้

2.การลงโฆษณายูทูป เป็นการลงทุนสร้างรายได้ทางโซเชียลอีกหนึ่งช่องทาง เพราะผู้คนส่วนใหญ่ชอบดูคลิปวีดีโอต่าง ๆ ทางยูทูปกันมาก จะช่วยให้ผู้คนเห็นผลิตภัณฑ์และบริการของคุณมากขึ้น จึงเพิ่มยอดขายและฐานลูกค้าของคุณแบบไร้ขีดจำกัดได้

3.การสมัคร Google My Business เป็นการสมัครและลงทะเบียนธุรกิจของเรา กับทาง Google โดยไม่ต้องลงทุนซักบาท แต่สามารถทำให้ธุรกิจของเรา ค้นหาเจอได้ในหน้า Google  ช่องทางนี้เป็นการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ที่ดีกว่าช่องทางอื่นตรงที่มันฟรี ไม่เสียเงิน แต่สามารถสร้างรายได้ให้กับธุรกิจของเราได้ดี

4.การเขียนบทความ SEO เป็นการเขียนบทความเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของคุณ ที่ให้สาระความรู้ ข้อมูลต่าง ๆ  ที่คนอ่านสนุก คล้อยตาม ไม่น่าเบื่อ และจำเจ โดยอาจแทรกคีเวิร์ดให้ผู้คนค้นหาคุณได้ง่ายขึ้น และช่วยให้แบรนด์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ของกูเกิล ซึ่งจะเพิ่มยอดขายได้อย่างดีทีเดียว

5.อินสตราแกรม เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สร้างรายได้ด้วยการโพสต์ภาพผลิตภัณฑ์และบริการของเรา ดึงดูดเพื่อน ๆ ให้มาสนใจและสร้างรายได้ให้กับแบรนด์ของคุณ เพราะผู้ใช้อินสตราแกรมก็มีจำนวนมากไม่แพ้กับช่องทางโซเชียลอื่น ๆ

  1. 6. Line official Account เป็นอีกช่องทางหนึ่งของการทำการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างมาก เนื่องจากเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ไลน์กันทั้งนั้น และข้อดีคือเราสามารถเพิ่มเพื่อนได้โดยไม่มีขีดจำกัด ส่วนมากจะเพิ่มเพื่อนด้วยการแจกสติ๊กเกอร์ไลน์ และทุกครั้งที่เราทำการโฆษณาสินค้าและผลิตภัณฑ์ของเรา มันก็จะไปปรากฏที่ไทม์ไลน์ ของเพื่อนและลูกค้าที่ติดตามแบรนด์ของเรา หรือจะคลิ๊กส่งข้อความให้กับเพื่อนทั้งหมดในไลน์ได้โดยตรง ซึ่งช่องทางนี้ก็สามารถเพิ่มฐานการตลาด และเพิ่มยอดขายให้กับคุณได้อย่างดีเช่นกัน

และทั้งหมดนี้คือกุญแจสำคัญในการทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ สามารถสร้างฐานผู้บริโภคได้กว้างไกลทั่วโลก และสร้างรายได้ให้กับธุรกิจของคุณได้อย่างไร้ขีดจำกัดเลยทีเดียว เพียงคุณเลือกช่องทางที่ถนัดและเหมาะสมเข้ากันกับธุรกิจของคุณ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อธุรกิจอย่างสูงสุด


เน็ตเวิร์คมาร์เก็ตติ้ง เติบโตในยุคปัจจุบัน มอบโอกาสให้คนที่มีต้นทุนชีวิตต่ำ พลิกชีวิตให้เป็นเศรษฐีได้จริงหรือ

การค้าแบบเดิม ๆ ที่เราเห็นกันในอดีต ก็จะเป็นรูปแบบของการที่บริษัทได้ผลิตและจำหน่ายสินค้าให้กับพ่อค้าคนกลาง เพื่อส่งต่อให้กับผู้บริโภค โดยที่บริษัทนั้นต้องทำการโฆษณา เพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จัก และดึงดูดให้ผู้คนอยากลองใช้สินค้านั้น โดยมีการจัดโปรโมชั่นต่าง ๆ โดยจ่ายค่าพรีเซ็นต์เตอร์ให้กับดารานักร้อง และค่าการตลาดต่าง ๆ โดยบวกค่าใช้จ่ายเหล่านั้นไปในสินค้า กว่าจะมาถึงผู้บริโภค สินค้าจากต้นทุน 30 บาทก็จะกลายเป็นราคา 100 บาท สู่ผู้บริโภคทันที และนี่คือการตลาดแบบเดิม ๆ ที่เราคุ้นเคยกันดี ว่าจะต้องมีการซื้อขายผ่านพ่อค้าคนกลางและมีการทำการตลาดทางสื่อและโฆษณา เพราะสื่อและโฆษณานั้น มีอิทธิพลต่อการค้าในยุคเก่าก่อนมาก คนส่วนใหญ่มักจะตามกระแสซื้อสินค้าตามนักแสดงที่ตัวเองชื่นชอบ ซึ่งการทำการค้าในยุคนั้นก็ยังคงทำยอดขายได้อย่างดีทีเดียว และด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ความเจริญทางด้านเทคโนโลยีเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการสื่อสารที่ทันสมัย การทำโฆษณาในรูปแบบออนไลน์เกิดขึ้น  การส่งสินค้าที่สะดวกรวดเร็วขึ้น เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้ดีที่สุด อย่างเช่น เน็ตเวิร์คมาร์เก็ตติ้ง การตลาดรูปแบบใหม่ที่กำลังเติบโตในยุคปัจจุบันนี้

เน็ตเวิร์คมาร์เก็ตติ้ง มอบโอกาส สร้างรายได้อย่างไร

ในสมัยก่อนเราซื้อของตามห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ ในราคาตามที่เค้ากำหนด ถึงแม้สินค้านั้นจะดีแค่ไหน ทำให้เราเกิดการซื้อซ้ำ หรือบอกต่อถึงสรรพคุณเชิญชวนให้เพื่อนมาซื้อ เราก็จะไม่ได้รายได้จากการซื้อซ้ำหรือการแนะนำเพื่อน ๆ ของเรากลับมา ถึงแม้เราจะพยายามทำหน้าที่พรีเซนเตอร์อยู่โดยไม่รู้ตัวก็ตาม เพราะบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเหล่านี้ ได้จ่ายค่าพรีเซนต์เตอร์ไปให้กับดารานักแสดงและสื่อต่าง ๆ ที่ค่อนข้างสูงแล้ว ในทางกลับกัน เน็ตเวิร์กมาร์เก็ตติ้ง คือการตลาดรูปแบบใหม่ ที่ให้ตัวเราเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้า โดยการใช้ดีแล้วบอกต่อแนะนำเพื่อนให้มาซื้อ เพื่อนใช้ดีบอกต่อไปแนะนำเพื่อนของเพื่อน บอกต่อแนะนำกันไปเช่นนี้เรื่อย ๆ จนเกิดเป็นเครือข่ายผู้บริโภคของเรา บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้านั้น นำค่าโฆษณาที่ไม่ต้องไปจ่ายให้ดารานักแสดง แต่กลับมาจ่ายให้เราแทนเป็นจำนวน 40-50% ของสินค้านั้น มันจึงเกิดการสร้างรายได้ให้กับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งแน่นอนบริษัทผู้ผลิตสินค้าเหล่านี้จำเป็นต้องผลิตสินค้าที่ดีมีคุณภาพ และหลากหลาย ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดการใช้ดีบอกต่อและกลับมาซื้อซ้ำ สร้างรายได้ให้กับทุกคนที่ทำหน้าที่พรีเซ็นต์เตอร์ให้กับบริษัทเหล่านี้ ที่สำคัญมันลงทุนน้อยมากแค่หลักร้อย สำหรับคนที่มีต้นทุนชีวิตต่ำ แต่มันสามารถสร้างรายได้หลักหมื่นหลักแสนหรือมากกว่านั้น และเป็น passive income ได้ คือหยุดทำได้ รายได้ไม่หยุดนั่นเอง

และนี่ก็คือการตลาดรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า เน็ตเวิร์คมาร์เก็ตติ้ง ที่ตอบโจทย์คนที่มีต้นทุนชีวิตต่ำ แต่ต้องการสร้างรายได้หลักแสนให้ตัวเองกลายเป็นเศรษฐี ได้แค่เพียงเปลี่ยนที่จ่ายย้ายที่ซื้อ มาซื้อกับบริษัทที่เราต้องการทำการตลาดให้ โดยเราใช้ดีบอกต่อทำหน้าที่พรีเซนเตอร์ไปในตัวนั่นเอง


คุณรู้จักอิสระภาพทางการเงินดีพอหรือยัง แนวคิดที่แตกต่างกันที่ทำให้สังคมมีคนจนและคนรวย

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงยังไม่รู้จักความหมายของคำว่าอิสระภาพทางการเงินกันดีพอ ซึ่งอิสระภาพทางการเงินที่มีความหมายแท้จริงนั้น ไม่ได้หมายถึงการมีเงินจำนวนมากมายมหาศาล แต่หากคือการที่เรามีรายได้ที่มั่นคงในแต่ละเดือนที่สามารถดูแลชีวิตตนเองและครอบครัวให้มีความเป็นอยู่ในด้านต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน การมีสุขภาพที่ดี การได้ท่องเที่ยวพักผ่อน มีเวลาส่วนตัวและมีเวลาอยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่นและมีความสุข หรือพูดง่าย ๆ ว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีมีความสุขนั่นเอง โดยที่เราไม่ต้องทำงานลำบากตรากตรำหามรุ่งหามค่ำจนไม่สามารถใช้ชีวิตตามแบบที่ใจเราต้องการ และอิสระภาพทางการเงินส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดกับคนรวย เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีความเข้าใจในเรื่องของอิสระภาพทางการเงิน และมีแนวคิดที่แตกต่างจากคนจนโดยสิ้นเชิง ซึ่งเราจะพาคุณไปดูกันว่า คนจนกับคนรวยเค้าคิดต่างกันยังไง

แนวคิดที่แตกต่างของคนจนกับคนรวยแนวคิดคนจน คนจนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ใช้แรงงานแลกเงินให้มีรายได้มาในแต่ละวันแต่ละเดือน ก็ใช้ไปให้หมดในวันนั้นเดือนนั้น โดยไม่มีการออม และไม่มีการวางแผนทางการเงิน หนำซ้ำพอสินค้าต่าง ๆ มีการจัดโปรโมชั่น ให้ซื้อก่อนผ่อนทีหลัง ก็จะรีบไปจับจองสินค้านั้นทันที โดยลืมคำนวนรายได้ในแต่ละเดือนว่าจะพอกับรายจ่ายหรือไม่ ยิ่งพอสถาบันทางการเงินออกบัตรเครดิตให้ ก็รีบกู้กันมาใช้จ่ายอย่างสบายใจ จนลืมคำนึงถึงดอกเบี้ยและภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น จนทำให้ในแต่ละเดือนไม่มีเงินออม เผลอ ๆ จะไม่พอค่าใช้จ่ายด้วยซ้ำ ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ้นมาอีก จึงทำให้คนกลุ่มนี้ต้องประสบกับปัญหา ชักหน้าไม่ถึงหลัง เป็นหนี้บัตรเครดิตหลายใบจนเสียประวัติ และคนกลุ่มนี้ก็มักจะมีวงจรเดิม ๆ เช่นนี้ไปตลอดไม่สามารถสร้างฐานะให้ดีขึ้นมาได้ หากไม่เปลี่ยนแนวคิดเสียใหม่

แนวคิดคนรวย คนรวยคิดต่างจากคนจนตรงที่พวกเค้ามีการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ ตั้งแต่การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย มีการเก็บออม และนำรายได้ที่มีไปขยายกิจการเพื่อต่อยอดเงินให้เพิ่มขึ้นจากเดิม และพวกเค้าจะทำงานหนักเพียงช่วงแรกหลังจากนั้นก็จะให้เงินทำงานแทน เพื่อใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว พักผ่อน ท่องเที่ยว ได้อย่างมีความสุข ผิดกับคนจนที่ยังคงทำงานหนักแลกเงินเพื่อเลี้ยงชีพไปวัน ๆ ยกตัวอย่างคนรวยที่ให้เงินทำงานแทน เช่น การสร้างคอนโด อพาตเมนท์ให้คนเช่า เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าแค่แนวความคิดที่แตกต่างก็สามารถมีผลโดยตรงต่อวิถีชีวิตและฐานะของคนเรา ดังนั้นถ้าวันนี้คุณอยากมีอิสระภาพทางการเงิน ก็ควรนำแนวคิดแบบคนรวยมาใช้ และทิ้งนิสัยเดิม ๆ ที่เคยใช้จ่ายเกินตัวจนมีภาระหนี้สินมากมาย เริ่มมีการวางแผนการเงินที่ดี เท่านี้ก็จะทำให้คุณพบกับอิสระทางการเงินได้อย่างแน่นอน


ธนาคารในไทย พี่ใหญ่ทางการเงิน สู่การปรับตัวและแข่งขันกับบริการน้องใหม่ที่มาพร้อมอาวุธเทคโนโลยี

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีด้านการเงินใหม่ ๆ หรือ การเงินรูปแบบดิจิทัล ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินและบริหารจัดการธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการทางการเงินไปอย่างมากมาย เพราะแน่นอนว่าผู้ใช้บริการย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง และความสะดวกสบายก็มักจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ในข้อดีของบริการด้านนี้ที่เทคโนโลยีใหม่มอบให้

ธนาคารในประเทศไทยทุกแบรนด์ทุกสี ย่อมได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงิน เช่น FinTech บล็อกเชน คิวอาร์โค้ด กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์หรือ e-wallet และแม้กระทั่ง พร้อมเพย์ เทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาสร้างบทบาทและเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ดังนั้นธนาคารที่ต้องการจะไปต่อและยังสามารถแข่งขันได้ ก็ต้องพยายามเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในด้านปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้คือ เรื่องการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เพื่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ครอบคลุมและทั่วถึง การพัฒนาด้าน e-money และอีกด้านที่สำคัญเช่นกัน และยังมีการพูดถึงกันอยู่ไม่มากในประเทศไทยคือ เรื่องของ Crowd Funding ที่จะมากระทบระบบการให้กู้ยืมเงินของธนาคารนั่นเอง

ช่องทางการชำระเงินบนมือถือ กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ และระบบการกู้ยืมเงินแนวใหม่ อุปสรรคหรือโอกาส

                มาถึงยุคดิจิทัลนี้ ธนาคารคงรู้ตัวแล้วว่าเกิดอุปสรรคใหม่ ๆ ต่อระบบธุรกิจแบบเดิม ๆ ของธนาคารอย่างมาก หากธนาคารมองว่านี่คือโอกาส สิ่งที่จะทำให้ธนาคารยังคงมีพื้นที่อยู่ได้อย่างมีบทบาทในโลกดิจิทัลก็คือการพัฒนาตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็วใน 3 ด้านที่ดูเหมือนว่ากำลังจะกลายเป็นระบบพื้นฐานของผู้บริโภคมากขึ้นทุกวันแล้ว เพราะผู้บริโภคยุคนี้ มีมือถือเป็นอวัยวะที่ 33 การพัฒนาช่องทางการชำระเงินบนมือถือจึงถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก และธนาคารเองก็กำลังปรับตัวมากขึ้นในด้านนี้ แต่ในเมื่อทุกธนาคารก็มีช่องทางการชำระแบบนี้แล้ว ใครที่อยากเป็นผู้นำก็ต้อง มองให้ไกลและวิ่งให้เร็วเพื่อสร้างความแตกต่าง ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ เพราะตอนนี้เงินฝากของลูกค้าเองก็ได้ถูกแบ่งส่วนไปยังกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นเช่นกัน

ดังนั้นเงินของลูกค้าจะอยู่ในระบบของธนาคารใดมากกว่า นี่ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายไม่ใช่น้อยเลย และการพัฒนาอีกด้านที่กำลังค่อย ๆ เพิ่มโอกาสทางการเงินให้แก่ลูกค้าที่ต้องการกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อมาประกอบธุรกิจ หรือนักธุรกิจรายใหม่ ๆ ที่ต้องการเงินทุนมาหมุนเวียน ก็คือการระดมทุนผ่านทางออนไลน์หรือ Crowd Funding นั่นหมายถึงว่า จากเดิมที่ลูกค้าต้องคอยมาลุ้นว่าจะมีธนาคารไหนอนุมัติเงินสินเชื่อให้ แต่ด้วยแพลตฟอร์มการระดมทุนออนไลน์ที่เปิดประตูสู่นายทุนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ธนาคารนี่เอง ก็อาจจะกระทบกับจำนวนที่ลดลงของนักธุรกิจหรือลูกค้าฝั่งสินเชื่อที่เคยเป็นฐานลูกค้าที่สำคัญของธนาคารเช่นกัน