ปีใหม่ ทำสิ่งใหม่ เพื่อชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม

ปี 2561 นับเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ปีแห่งโอกาส โอกาสในการที่เราสามารถจะเลือกประกอบอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพหลัก อาชีพรองก็มองหาได้ทั้งนั้น ที่สำคัญมีให้เลือกกันอย่างหลากหลายอาชีพอีกด้วย สำหรับคนที่ชอบค้นหาอะไรใหม่ ๆ ได้เปรียบแน่นอนในยุคนี้

โอกาสที่ว่าเป็นยังไงนะเหรอ ก็อย่างเช่น คนอยู่บ้านก็สามารถทำงานได้ รับงานจากผู้ว่าจ้าง งานเสร็จก็รับเงิน ง่าย ๆ หรือถ้าจะเรียกว่าเป็นฟรีแลนซ์ก็ไม่ผิด นอกจากจะเป็นอาชีพจำพวกฟรีแลนซ์แล้วนั้น ยุคนี้ก็ยังมีอาชีพอื่น ๆ อีกมากที่น่าสนใจ และเราสามารถทำเป็นงานเสริม เป็นรายได้เสริมจากงานประจำของเราอีกด้วยก็ได้ เช่น หากคุณมีรถส่วนตัว และในวันเสาร์ อาทิตย์ก็อาจจะว่าง เราก็ใช้เวลาตรงนี้แหละ ใช้รถของเราให้เป็นประโยชน์ รับจ้างขนของ หรือเปิดเป็นบริการส่งของตามที่ต่าง ๆ ก็ได้ หรือถ้าเป็นคนชอบงานที่หนักเอาเบาสู้หน่อย เย็นเลิกงานมาก็ไปเป็นพนักงานตามร้านอาหารก็ได้ เดี๋ยวนี้ร้านอาหารเกิดใหม่อย่างกับดอกเห็ด ยิ่งแถวไหนเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วยยิ่งได้เปรียบใหญ่ สามสี่ชั่วโมง ก็มีรายได้เสริมมาจุนเจือตัวเองสบาย ๆ แล้ว ใช้เวลาไม่มากเกินไป มีเวลากลับมาพักผ่อนทำงานตอนเช้าอีก ดีไหมล่ะ

ถ้าคนไหนมีความสามารถ เล่นกีต้าร์ ร้องเพลง ก็ใช้ความสามารถของตัวเองให้เกิดประโยชน์ ที่จริงตามตลาดนัดกลางคืน ถนนคนเดินก็พบเห็นได้บ่อย ๆ อยู่เหมือนกัน เอาความสามารถบวกความกล้า แล้วลุย รับรองว่าได้เรื่องแน่นอน (แต่ได้ยังไงค่อยว่ากันอีกที)

บ้านเมืองเราเป็นที่อิจฉาของต่างประเทศหลาย ๆ ประเทศ ทั้งในด้านสภาพภูมิประเทศที่เหมาะแก่การเข้ามาลงทุน และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจไปพร้อม ๆ กัน ปี ๆ หนึ่งมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวหลายสิบล้านคนจากทั่วประเทศแต่นักท่องเที่ยที่วเข้ามามากที่สุด เห็นจะเป็นจากประเทศจีน แต่แว่ว ๆ ว่ามีคำจีนวิพากษ์วิจารณ์กันในโซเซียลมีเดียกันอย่างแพร่หลาย เกี่ยวกับมาตรฐานในการบริการนักท่องเที่ยวของไทย คือถ้าคนไทยราคาบริการก็จะถูกหน่อย แต่ถ้าเป็นคนจีนก็จะอัพขึ้นเป็นเท่าตัว หรือสองเท่าตัว เข้าข่ายสองมาตรฐานอะไรประมาณนี้ คิด ๆ ดูก็น่าเห็นใจนักท่องเที่ยวนะ มาเที่ยว เอาเงินมาให้กับประเทศเขาแล้ว ยังถูกเอาเปรียบอีก ใจร้ายชะมัด แต่ไม่เป็นไรถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นครูของเราละกัน มาเริ่มกันใหม่ อะไรที่มันผิดพลาดไปแล้วก็ปรับปรุงเสีย ต้องมองว่ามันเป็นโอกาสของเราที่เราสามารถถือเอาการท่องเที่ยวมาสร้างอาชีพสร้างรายได้ สำคัญคือหน่วยงานท้องถิ่นหรือที่เกี่ยวข้องก็ควรเข้ามามีบทบาทร่วมด้วยเช่นกัน

ปีใหม่แล้ว ลองหาอะไรใหม่ ๆ ไม่แน่เราอาจจะค้นพบอะไรที่ใช่ในปีนี้ก็เป็นได้ โอกาสมีก็ต้องรีบคว้าเอาไว้

Category: เศรษฐกิจไทย

Tag : ข่าวเศรษฐกิจ, นักท่องเที่ยว, รายได้เสริม
เครดิตภาพ : https://goo.gl/9tLzx2


สัมพันธ์ไทย-อิหร่านแน่น หนุนไทยส่งออกข้าว

ข่าวคราวที่ได้ยินมาหากเป็นเรื่องจริง คงทำให้ชาวนา ชาวสวน ผู้ประกอบการของไทยคงได้ยิ้มออกกันบ้าง ในเรื่องที่ไทยพยายามพื้นความสัมพันธ์กับอิหร่านในด้านความร่วมมือเรื่องการค้าระหว่างประเทศ จากการรายงานของกระทรวงพาณิชย์ อิหร่านซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยในอดีต

ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ากระทรวงพาณิชย์มีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศอิหร่าน เพื่อพูดคุยหารือกันเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการทำความตกลงกันในเรื่องของการค้าข้าว ซึ่งที่ผ่านไทยกับอิหร่านก็ถือว่ามีความสัมพันธ์กันอยู่บ้างแล้ว แต่ปีนี้จะมีความพิเศษหน่อย นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะพิเศษยังไง ต้องรอติดตามผล

แต่ที่รู้แน่นอนคือในการประชุมที่จะใกล้จะถึงนี้ เป็นเรื่องที่ดีต่อเกษตรกรผู้ผลิตข้าวอย่างแน่นอน เพราะจากปีที่ผ่านมาไทยส่งออกข้าวไปอิหร่านรวมกว่า 3 แสนตัน ถ้าคิดเป็นมูลค่าก็ประมาณ 4,300 ล้นบาท ไม่น้อยทีเดียว จากปริมาณการส่งออกข้าวดังกล่าว ทำให้เกษตรกรไทยบางส่วนพอได้มีเงินจับจ่ายใช้สอยบ้าง อาจจะไม่มากไม่มาย แต่ข่าวดีคือ การส่งออกข้าวไทยปีนี้จะเพิ่มปริมาณมากขึ้น และหวังว่ารายได้จะกระจายไปสู่พี่น้องเกษตรกรได้กว้างขวางขึ้นเช่นกัน

มาดูว่าสินค้าไทยมีอะไรบ้างที่ส่งออกไปยังประเทศอิหร่าน โดยการจัดอันดับของกระรวงพาณิชย์ 5 อันดับ คือ ข้าว ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับยาง ผลไม้กระป๋องและอาหารแปรรูป เป็นต้น ดูจากสินค้าที่ส่งออกแล้วถือเป็นสินค้าที่ไทยผลิตเป็นหลักอยู่แล้ว

เมื่อรู้กันแล้วว่าไทยเราส่งอะไรไปอิหร่าน เรามาดูทางฝั่งอิหร่านบ้างว่าส่งอะไรมาให้ไทย สินค้าที่ไทยนำเข้าจากอิหร่านได้แก่ เหล็กกล้า พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช สัตว์น้ำสดแช่เย็น แช่แข็ง เคมีภัณฑ์ และเชื้อเพลิง เป็นต้น การค้าการลงทุนก็ต้องแบบนี้แหละ ต้องขายแล้วก็ต้องซื้อในเวลาเดียวกัน ไม่ต้องพูดถึงระดับประเทศ แค่ค้าขายในชุมชนก็ยังจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนกัน

อย่างไรก็ตามการค้าระหว่างประเทศของไทยกับอิหร่านยังมีแนวโน้มเป็นไปในทางที่ดีขึ้น โดยไทยตั้งเป้าว่าจะส่งออกข้าวให้อิหร่านปีละ 7 แสนตันเช่นเดิม หลังจากที่เคยมีการลดการนำเข้าข้าวของอิหร่านไป เนื่องด้วยความไม่แน่นอนทางสังคมการเมือง ของประเทศเพื่อนบ้าน อิหร่านเองก็วางตัวลำบาก

ถือเป็นข่าวดีสำหรับเกษตรกรไทยทุกหย่อมหญ้า เพราะถ้าหากไทยสามารถส่งออกข้าวได้ตามเป้าที่วางไว้ นั่นหมายความว่าเกษตรกรไทยก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากเดิมหลายเท่า แต่ยังไงก็ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะกระทบกับเป้าที่วางไว้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นในประเทศของไทยเอง และปัจจัยเสี่ยงทีอาจจะเกิดขึ้นในประเทศอิหร่าน

Category : เศรษฐกิจไทย

Tag : ข่าวเศรษฐกิจ,  การค้าระหว่างประเทศ,  อิหร่าน

 

เครดิตภาพ : https://pixabay.com/photo-1807486/


จับตาทิศทางพลังงานไทยปี 61 ไฟฟ้าต้องสว่างไสวทุกพื้นที่

เศรษฐกิจไทยที่น่าจับตามองขณะนี้คงหนี้ไม่พ้นเรื่องของพลังงานไฟฟ้า ที่มีกระแสว่าไทยจะสามารถผลิตไฟฟ้าใช้ให้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้นำไทยโดนกดดันอย่างหนักจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่ออกมาแสดงความเป็นห่วงว่าไทยจะไม่มีพลังงานใช้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ตัดกระแสพลังงานไม่พอใช้ มาที่การลงทุนพลังงานน้ำของบริษัท ไซยะบุรีหรือ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศลาว ซึ่งตอนนี้กรรมการผู้จัดการบริษัทก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า การก่อสร้างสำเร็จไปกว่า 90 % แล้ว และคาดว่าจะสามารถนำกระแสไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ในปี 2562 นี้ โดยมีกำลังการผลิตที่ 1,285 เมกะวัตต์ และในปี 2563 จะมีพลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 2,160 เมกะวัตต์ ซึ่งในปัจจุบันกำลังผลิตอยู่ที่ 875 เมกะวัตต์ และแน่นอนว่ากำลังเป็นที่จับตามองของสาบันไทยในการเข้ามาร่วมถือหุ้นด้วย

กลับมาทางด้านบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของไทย ก็ได้พยายามพัฒนาให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถนำไปใช้ได้กว้างขวางมากขึ้น เพื่อรองรับสถานการณ์น้ำมันในอนาคตที่อาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ทันตั้งตัว รวมทั้งบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติอังกฤษอย่าง เมอร์เซเดส เบนซ์ และบีเอ็มดับบลิว ก็ผลักดันในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า และออกมาตีตลาดมากกว่าใครเพื่อน มีการเพิ่มสถานีประจุไฟฟ้าให้กับรถอีวีเพิ่มมากขึ้น โดยภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะกำลังมีการขยายสถานีประจุไฟฟ้ากว่า 100 จุด ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล เพื่อรองรับการใช้รถพลังงานไฟฟ้าที่อนาคตจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ถือเป็นสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด หากวันหนึ่ง ราคาน้ำมันแตะขึ้นไปที่หนึ่งร้อยบาทต่อลิตร คงตัดสินใจไม่ยากว่าเราควรจะใช้รถยนต์แบบไหน และพลังงานไฟฟ้าอาจเข้ามาเป็นตัวเลือกอันดับแรก

ประเทศที่น่าจับตามองในเรื่องการพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจที่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วอย่าง “อินเดีย” ซึ่งไต่เต้าอันดับมาติดหนึ่งร้อยประเทศที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งขยับขึ้นจากปีที่แล้วเกือบร้อยอันดับ สร้างความตื่นตาปนความสงสัยให้กับนานาประเทศเป็นอย่างมาก หลายประเทศจึงอยากร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อร่วมพัฒนาเศรษฐกิจไปด้วยกัน และด้วยการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระบุว่า อินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลกในปี 2565 หรือแค่เพียงสี่ปีข้างหน้านี้เอง ตรงนี้เองเป็นที่น่าสนใจว่า อินเดียมีกลยุทธ์อะไร ที่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้ก้าวกระโดดเช่นนี้ นักวิเคราะห์ยังระบุเพิ่มเติมว่า อินเดียวจะกลายเป็นประเทศที่มีฐานเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด เนื่องจากในปี 2565 นั้นประชากรของอินเดียจะเพิ่มขึ้นถึง 1,500 ล้านคน ซึ่งจะทำลายสถิติที่จีนเคยเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกที่ 1,000 ล้านกว่าคน

พลังงานเป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจรวมถึงความเป็นอยู่ของประเทศ ฉะนั้นทำอย่างไรให้ประเทศมีพลังงานเพียงพอต่อความต้องการของประเทศทั้งในปัจจุบันนี้และในอนาคต และในความเพียงพอนั้นต้องไม่กระทบต่อเศรษฐกิจความเป็นอยู่ของชนชาวรากหญ้าด้วย นี่คงเป็นโจทย์ที่สำคัญ!

 

Category : เศรษฐกิจไทย

Tag : ข่าวเศรษฐกิจ,  พลังงานทางเลือก, ไฟฟ้า

เครดิตภาพ : https://goo.gl/LNMvZQ


รถไฟจีนจ้าวแห่งเทคโนโลยีอนาคต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกย่อมหญ้า!

 

เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ เมื่อเรื่องราวที่เคยดูในภาพยนตร์อย่าง “สตาร์วอร์” ได้เกิดขึ้นแล้วโลกนี้ กับฉากที่ยานอาวกาศบินไปมา โดยที่ไม่แตะหรือสัมผัสกับเลยแม้แต่น้อย เรื่องราวนี้ได้เกิดขึ้นที่ประเทศจีนที่สามารถผลิตรถไฟความเร็วสูงขับเคลื่อนด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่จากปริมาณความต้องการใช้บริการการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในประเทศจีนที่มีคนใช้บริการการขนส่งโดยรวมถึง 910 ล้านคน โดยกระจายการใช้บริการขนส่งทุกชนิด และแน่นอนที่สองไม่รองใครคือ บริการรถไฟ เนื่องด้วยจีนเป็นผู้นำในการผลิตรถไฟของโลก เพราะการเติบโตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงยาวที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟเพื่อการขนส่งสินค้า ที่สามารถทำความเร็วได้ดี ประหยัดเวลา และรถไฟสำหรับบริการประชาชน ทำให้หลายประเทศอยากจับมือกับจีนหวังจะพัฒนาตามรอยบ้าง และจีนก็มีแผนจะพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเส้นทางระหว่างปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ ที่กำลังจะเกิดบริการรถไฟความเร็วสูงสายล่าสุด ที่มีชื่อว่า ฟู่ซิง (Fuxing) ที่มีการอนุญาตให้วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดถึง 218 ไมล์ ต่อชั่วโมง (ประมาณ 351 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)  ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ฮือฮาทั่วโลก

ว่ากันต่อด้วยรถไฟที่คล้ายคลึงกับยานอาวกาศในเรื่องสตาร์วอร์ ซึ่งอยู่ในประเทศจีน ถูกเรียกชื่อว่า แม็กเลฟ (Maglev) หรือจะเรียกอีกอย่างคือ รถไฟพลังแม่เหล็กความเร็วสูง ระบบการทำงานคือ จะใช้สนามแม่เหล็กในการยกตัวรถไฟให้ลอยอยู่บนราง และใช้ไฟฟ้าเพื่อให้เกิดกระแสแม่เหล็ก รวมทั้งเพื่อการวิ่งและหยุดรถ ปัจจุบันให้บริการอยู่ที่ประเทศจีนในเซี่ยงไฮ้ สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงถึง 267 ไมล์ชั่วโมงหรือ 430 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ในอนาคตจะมีการพัฒนาความเร็วขึ้นอีก ที่ 373 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ ประมาณ 600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถึงตอนนี้ เครื่องบินคงต้องเรียกพี่ใหญ่ชัวร์ ๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เคยเจอในหนังสมัยเด็ก ๆ ผ่านมาแปปเดียวยังไม่ทันแก่ก็เกิดขึ้นจริงแล้ว

ด้วยการพัฒนาการที่ก้าวกระโดดของจีน ทำให้จีนสามารถสร้างรายได้จากการลงทุนมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี นานาประเทศต้องการเอาอย่างบ้าง จึงได้มีการประชุมหารือ ทำความร่วมมือ (MOU) เพื่อศึกษาแนวทาง และนำมาพัฒนาปรับใช้กับประเทศของตนเองมาก

ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมรถไฟความเร็วสูงยังมีคู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวคือ “เครื่องบิน” แต่ในอนาคตข้างหน้าอันใกล้ เครื่องบินอาจจะไม่คู่ควรที่จะต่อกรกับรถไปอีกต่อไป ใครเก่ง ใครเร็ว ใครปลอดภัย ก็เหนือกว่า โลกปัจจุบันเข้าสู่ยุคแห่งการแข่งขันเต็มตัว ดังนั้นการปรับตัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

อย่างไรก็ตามทุกอย่างต้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน เทคโนโลยีต้องพึ่งพาคน และคนก็ต้องอาศัยเทคโนโลยี เราไม่อาจแยกจากกันได้ ขนาดสตาร์วอร์ว่าเป็นเรื่องอนาคตแล้ว คนก็ยังเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด

Category : เศรษฐกิจโลก

Tag : ข่าวเศรษฐกิจ, รถไฟความเร็วสูง, การคมนาคม

เครดิตภาพ : https://pixabay.com/photo-1636401/


แรงงานไทยเตรียมเฮ รัฐบาลใจดี เตรียมปรับค่าแรงขั้นต่ำ

หลังจากที่ได้มีการประชุมเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าแรงของคณะรัฐมนตรี พี่น้องแรงงานก็แอบหวังลึก ๆ ว่า เรื่องการปรับขึ้นค่าแรงจะบรรลุผลโดยเร็ว เพราะหวังที่จะลืมตาอ้าปากได้กว้างกว่าที่ผ่านมาบ้าง เพราะที่ผ่านมาค่าแรงของไทยไม่ได้ปรับขึ้นมากนัก และขึ้นเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น

ทั้งนี้ในการปรับขึ้นค่าแรงของผู้ใช้แรงงานนั้น จำเป็นต้องพิจารณาจากปัจจัยหลาย ๆ ส่วนมาประกอบร่วมกัน เช่น ภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน อันนี้ถือเป็นเหตุผลหลักในการนำมาพิจารณาประกอบ ต้นทุนการผลิตสินค้า ค่าเงินบาทในปัจจุบัน และกลไกลตลาดของโลก เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องนำมาประกอบการพิจารณาการขึ้นค่าแรงทั้งสิ้น

ล่าสุด ได้มีการสรุปการปรับขึ้นค่าแรงเป็นที่เรียบร้อย โดยจะขึ้นประมาณ ประมาณ 8-22 บาท และจะขึ้นทั่วทั้งประเทศ ไม่มีส่วนไหนได้สิทธิพิเศษ จะว่าไปแล้วก็แฟร์ดี ไม่ใช่ตรงนั้น 8 บาท ตรงโน้น 10 และตรงโน้นนน.. 20 บาท ขืนเป็นอย่างนั้นมีหวังประชาชนลุกขึ้นมาประท้วงให้วุ่นวายสมองเป็นแน่แท้ อย่างไรก็ดี คิดว่าการปรับขึ้นค่าแรงดังกล่าวก็คงจะเท่าเทียมกันอย่างที่ได้ยิน

สำหรับผู้ที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่าง จังหวัดขอนแก่น และภาคกลางตอนบน จังหวัดนครสวรรค์ โดยเฉพาะประชาชนที่มีอาชีพปลูกอ้อย และมันสำปะหลังเตรียมตัวยิ้มรับปี 61 อย่างสบายใจได้เลย เพราะผู้ว่ากระทรวงอุตสาหกรรมได้มนโยบายผลักดัน “พลังงานชีวภาพ หรือไบโออีโคโนมี” ซึ่งการผลิตพลังงานข้างต้นจะใช้อ้อยและมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลัก หากนโยบายนี้บรรลุเมื่อไหร่ คาดว่าประชาชนผู้ปลูกอ้อย ปลูกมันฯ คงได้อานิสงค์ไม่มากน้อย ก็คงต้องรอดู

แล้วคนที่อยู่ในจังหวัดอื่นล่ะ เขาก็ปลูกอ้อย ปลูกมันกันเยอะแยะ อย่างจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ไม่เห็นพูดถึงเลย อันนี้ต้องบอกว่าเป็นจังหวัดที่มี แหล่งรองรับผลผลิตของเกษตรกรกันอยู่แล้ว ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่เดือดร้อนเท่าพี่น้องในบางจังหวัดที่กล่าวมาข้างต้น แหล่งรองรับที่ว่าก็คือ โรงงานน้ำตาลที่ตั้งอยู่ในละแวกจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี ซึ่งช่วงนี้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยก็เริ่มทยอยตัดอ้อยนำส่งโรงงานกันแล้ว เนื่องจากถึงช่วงที่โรงงานเปิดรับ และคิดว่าเกษตรกรที่ปลูกอ้อยในแถบกาญจนบุรี ราชบุรี รวมไปถึงสุพรรณบุรี ปีนี้คงจะยิ้มออกเนื่องจากปีที่ผ่านมาฝนดี ทำให้ผลผลิตงดงาม

ค่าแรงปรับขึ้นไม่รู้ว่าแรงงานจะดีใจหรือว่าเฉย ๆ ดี เพราะบางทีด้วยภาระหน้าที่ที่มีอยู่มันช่างหลายอย่างเหลือเกิน ไม่ว่าจะภาะหนี้สินครัวเรือนซึ่งเป็นปัญหาอันดับต้น ๆ ของประเทศ โดยเฉาะชาวไร่ชาวนา ค่าแรง 22 บาท จะพอใช้หนี้ไหมนะ

Category : เศรษฐกิจไทย

Tag : ข่าวเศรษฐกิจ, ค่าแรงขั้นต่ำ, เงินเดือน

เครดิตภาพ : https://pixabay.com/th/เงิน-ดอลลาร์-กระเป๋าเสื้อ-ธนาคาร-548948/


บาทแข็งค่า อ่อนค่า ! หวั่นกระทบส่งออกหรือใคร?

หลายปีที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์คล้ายกันนี้แล้วหลายครั้ง จากการผันผวนของเงินบาทที่มีแนวโน้มว่าจะแข็งค่าขึ้น นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างก็วิเคราะห์กันไปต่าง ๆ นา ๆ รวมทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เองก็ว่าออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน

ไตรมาสนี้เงินบาทแข็งขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา และหากยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ และถ้าถามว่ากระทบยังไง คือ เมื่อเงินบทแข็งค่าขึ้น อัตราการแลกเปลี่ยนกับเงินดอลลาร์ก็ได้น้อยลง ซึ่งแน่นอนว่าภาคธุรกิจส่งออกจึงได้รับผลกระจากภาวะนี้แน่ เพราะเงินที่ได้มันลดลง แต่หากเหตุการณ์พลิกผันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เงินบาทอ่อนค่าลงนั่นหมายความว่าอานิสงส์ย่อมตกเป็นของผู้ส่งออกในประเทศ การแข็งค่าของเงินบาทในปีนี้ นับเป็นการแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 3 ปี สาเหตุสำคัญมาจากความไม่แน่นอนของการลงทุนในสหรัฐถือเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจในการบริหารประเทศของรัฐบาล จึงหันมาลงทุนในประเทศอื่น เช่น เวียดนาม เป็นต้น เพราะเป็นประเทศที่กำลังเกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทุก ๆ ด้าน

นักวิชาการมองว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า เวียดนามจะนำหน้าประเทศไทยในทุกด้าน หลังจากที่เวียดนามนั้นได้ผ่านวิกฤติการณ์อันใหญ่หลวงจนกลายเป็นประเทศที่ยากต่อการฟื้นฟู

ได้ยินอย่างนี้รู้สึกว่าเราต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว หากยังปล่อยให้ประเทศเป็นไปแบบนี้ โดยเฉพาะประชาชนระดับชั้นล่าง ซึ่ง 90% มีอาชีพเกษตรกรรม ที่ได้รับผลกระทบจาก “ราคาพืชผลทางการเกษตร”ที่ตกต่ำอย่างไม่หยุดไม่หย่อน พูดแล้ว เฮ้อ…หน้าเห็นใจ แล้วอย่างนี้ เมื่อไหร่จะลืมตาอ้าปาก มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองได้ซักที ผู้ประกอบการ เกษตรกร เราก็ต้องการความมั่นคงแน่นอนเหมือน ๆ กัน

อย่างไรก็ตาม แว่ว ๆ ว่าในเรื่องของราคาพืชผลทางการเกษตร ก็ได้มีการหามาตรการเพื่อผลักดันให้ราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้น ยังไงก็ต้องรอดูกันต่อไป

ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใดกับภาวะเงินบาทที่ลอยตัว อันนี้ต้องรอดูกันไปยาว ๆ เอ๊ะ! หรือไม่ยาว ถ้าระยะยาวหากค่าเงินบาทยังคงแข็งตัวอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าผู้ส่งออกก็เตรียมตัว เตรียมใจรับมือกับการขาดทุนย่อยยับได้เลย เว้นเสียแต่ว่าธุรกิจมีทุนสำรองมากเพียงพอ คงยังพอประคับประคองตัวเองให้พออยู่รอดได้ อันนี้ก็สำคัญเหมือนกัน

ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา…สาธุ หากสถานการณ์กลับกลายเป็นว่า “เงินบาทอ่อนค่า” ลงอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการคงจะกระเป๋าตุงเชิดหน้าชูตาได้อย่างมีความสุข

จะว่าไป เรื่องเงินบาทจะแข็งหรือจะอ่อนค่าเนี่ย มันกระทบกับประชาชนคนรากหญ้าอย่างเรา ๆ หรือเปล่านะ อาจจะไม่กระทบอะไรเลยหรือกระทบแล้วแต่ไม่รู้ว่ากระทบ เพราะจะกระทบหรือไม่กระทบสภาพก็เป็นอยู่อย่างนี้ทุกวันอยู่แล้ว เอวัง..

 

Category: เศรษฐกิจไทย

Tag : ข่าวเศรษฐกิจ, เงินบาท, ความเป็นอยู่
เครดิตภาพ : https://goo.gl/wunVN6


แรงงานไทยเตรียมเฮ!  รองรับแผนพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจรัสเซีย

ปี 2561 นับเป็นอีกหนึ่งปีทองที่ประเทศไทยมีเกณฑ์จะดวงขึ้น เพราะเป็นที่หมายตาต้องใจของบรรดามหาประเทศที่สนใจอยากเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจ อย่าง จีน ญี่ปุ่น จะว่าไปจีน ญี่ปุ่นนั้นถือเป็นประประเทศพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์กับไทยมาช้านาน แต่ที่น่าจับตามองอย่าใกล้ชิดอีกหนึ่งประเทศคือ สหพันธรัฐรัสเซีย

ซึ่งอีกเดือนสองเดือนข้างหน้า นักธุรกิจระดับ “บิ๊กบอส” ของรัสเซีย ทั้งจากภาครัฐและเอกชน มีแผนบินข้ามทวีปมาศึกษาแนวทางในการลงทุนร่วมกับไทย และไทยก็พร้อม Welcome ด้วยความยินดียิ่ง หากการมาเยือนของรัสเซียในครั้งนี้เป็นไปตามแผนที่มีการวางเอาไว้ คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมของไทย รวมกว่า 10 สาขา ประสบผลสำเร็จสมดังหมาย รับรองว่าประชากรไทยที่ว่างงานกว่า 11 ล้านคน คงได้ยิ้มออก ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่หากว่ารัสเซียเกิดสนใจเข้ามาร่วมลงทุนกับไทยจริง ๆ ที่น่าจับตามองอย่างไม่อาจละสายตาได้คือ คณะที่จะเดินทาเข้ามาเยือนไทยในครั้งนี้ เรียกว่าเป็นจ้าวแห่งวิทยาการ ที่เชี่ยวชาญสาขาวิชาต่าง ๆ เช่น การก่อสร้าง การบิน โลจิสติกส์ พลังงาน ฯลฯ แต่ละอย่างล้วนมีประโยชน์กับประเทศไทยทั้งสิ้น สาเหตุที่รัสเซียหันมาสนใจลงทุนจับมือกับประเทศไทยนั้นสืบเนื่องมาจาก รอยแผลเก่าเมื่อครั้งอดีต ที่เคยโดนเพื่อน ๆ หักหลัง ชีวิตมันต้องเดินต่อไป ก็เลยหันมาไทย

ประเทศไทยไม่ใช่เป็นประเทศเดียวที่อยู่ในความสนใจของรัสเซีย ยังมี “เวียดนาม” อีกหนึ่งประเทศที่รัสเซียให้ความสนใจไม่แพ้ไทย เมื่อไทยมีคู่แข็ง ส่วนที่เกี่ยวข้องก็จำเป็นต้องสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน เพื่อมัดใจให้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างบางประการที่ไทยอาจจะได้เปรียบเวียดนาม ซึ่งเกี่ยวข้องกับในส่วนของเป้าหมายการลงทุน ซึ่งไทยเน้นและสนับสนุนการลงทุนในด้านอุตสาหกรรมระดับสูง ในส่วนของเวียดนามเน้นเพียงการลงทุนในอุตสาหกรรมทั่วไป ตรงนี้อาจทำให้ไทยได้เปรียบก็เป็นได้ เพราะอาจตรงกับเป้าหมายการลงทุนของสหพันธรัฐฯ

สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ให้ความเห็นผ่านสื่อว่า การค้าไทย รัสเซียมีแนวโน้มจะมีมูลค้าถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือว่ามีมูลค่ามหาศาลทีเดียว และแน่นอนหากถึงเป้าจริง แรงงานไทยต้องมีผลพลอยได้อย่างไม่ต้องหลีกเลี่ยงแน่

ส่วนรัสเซียเองเศรษฐกิจในประเทศก็มีแนวโน้มจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุการณ์สำคัญสองประการ คือ ฟุตบอลโลกที่จะเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน-ถึงพฤษภาคม และแน่นอนว่ารัสเซียเป็นเจ้าภาพ และในเดือนมีนาคมนี้ที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของรัสเซียอีก งานนี้ไทยมีแต่ได้กับได้

หาก”บิ๊กโปรเจกต์” ประสบผลสำเร็จ คงถึงเวลาแล้ว ที่จะได้ลืมตาอ้าปากกันซักที

Category: เศรษฐกิจไทย

Tag : ข่าวเศรษฐกิจ, รัสเซีย, การลงทุน

 

เครดิตภาพ : https://goo.gl/G2gcmb


ผุดบัญชียางพารา ชาวสวนไชโยดังลั่น

                ยางพาราเป็นวัตถุดิบที่นำมาผลิตสินค้า มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการส่งออกไปยังต่างประเทศด้วย สินค้าที่ผลิตขึ้นมาจากยางพาราที่เรา ๆ ก็รู้จักมักคุ้นกัน ได้แก่ ยางรถยนต์ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับยางทุกชนิด มีการนำยางไปเป็นส่วนประกอบในการสร้างถนนเพื่อให้เกิดการใช้ยางพารา และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ทำไมเกษตรกรชาวสวนยาง จึงยังคงได้รับความเดือนร้อนจากปัญหาราคายางพาราตกต่ำทั้ง ๆ ที่ยางพาราก็ได้ถูกนำไปใช้อย่างล้นหลาม ด้วยเหตุที่ว่านี้ชาวสวนยางถึงกับมีการรวมตัวกันเพื่อล่ารายชื่อหวังปลดผู้บริหารออก มันเกิดขึ้นได้ยังไง?

เท่านั้นยังไม่พอ ช่องข่าวทางทีวียังมีการออกมาเปรียบเทียบราคายางพาราของปีที่ผ่านมา ก็ปรากฏชัดเจนแจ่มแจ้งว่า ราคายางพาราถูกลงอย่างมาก ลดลงถึง 20 กว่าบาท แล้วอย่างนี้ประชาชนจะไม่ลุกหือได้อย่างไร? และที่จริงแล้วปัญหาราคายางพาราตกต่ำถือเป็นปัญหาเรื้อรัง ยืดเยื้อมายาวนาน ประชาชนจึงได้รับความเดือดร้อนกันเรื่อยมา ประเทศไทยมีการปลูกยางพารารวมกันกว่า 10 ล้านไร่ คิดดูแล้วไม่น้อยทีเดียว และในสิบล้านไร่นี้ก็มีบทบาทช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยยังเดินอยู่ได้เช่นกัน แต่เจ้ากรรม ทั้ง ๆ ที่ให้ประโยชน์ต่อประเทศมากมาย กลับไม่ได้รับความสนใจ ไม่เห็นคุณค่าสักเท่าไร ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้รัฐบาลไม่อาจจะนิ่งนอนดูดายได้อีกต่อไป “เราต้องทำอะไรซักอย่าง เพื่อพี่น้องเกษตรกรชาวสาวยางของเรา!” และแล้วในที่สุด ก็เกิดเมกกะโปรเจค “ขึ้นบัญชียางพารา” แก้ปัญหายางราคาไร้ระเบียบ ฟังดูดีทีเดียว แต่จะได้ผลมากน้อยแค่ไหนลองรอลุ้นกันต่อไป ขอเตือนอย่าละสายตา!  สิ่งหนึ่งที่พอทำให้มั่นใจได้บ้างว่าราคายางพาราจะดีขึ้น และนั่นหมายถึงชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรชาวสวนยางก็จะดีขึ้นด้วยคือ การขึ้นบัญชียางพารานั้นทำให้ยางพารากลายเป็นสินค้าที่มีการควบคุม จะมีมาตรการควบคุม เช็คสต็อก สามารถกำหนดราคาขั้นต่ำ ขั้นสูง ป้องกันการเล่นราคาจากพ่อค้าคนกลางหรือพ่อค้านอกรีตได้ โดยอยู่ภายใต้การกับกับดูแลอย่างใกล้ชิดของรัฐบาล สิ่งที่ตอกย้ำความมั่นนี้ก็เพราะมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ได้ถูกกำหนดลงในประกาศ “ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็หวังว่านับแต่นี้ต่อไปปัญหายางพาราคงทุเลาลงจนกะทั้งหมดไปซักที เกษตรกรชาวสวนยางเตรียมเฮได้เลย

เมื่อแก้ปัญหาอย่างหนึ่งได้ ปัญหาใหม่ก็มักจะเข้ามาแทนที่แบบไม่ได้รับเชิญ เศรษฐกิจโดยรวมของไทยในประเทศที่ผ่านมามีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น นักวิชาการต่างก็ให้ความเห็นไปทิศทางเดียงกันว่าจะดีขึ้น 4-5 % บ้าง บางท่านก็ว่ามากกว่านั้น เหตุเพราะภาคการส่งออกขยับตัวดีขึ้นแม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าไปหน่อยก็ตาม หุ้นไทยก็ดีขึ้น วิเคราะห์กันไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าคนไทยได้ประโยชน์ แต่สำหรับชาวสวนชาวไร่ทำไมยังไมรู้สึกว่าตัวเองสบายขึ้นซักทีนะ ราคาพืชผลทางการเกษตรก็ไม่ดี โดยเฉพาะมันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน อ้อย ข้าวโพด และเกษตรกรส่วนใหญ่ดำรงชีพด้วยการเพาะปลูกพืชเหล่านี้ พี่น้องชาวเกษตรกร…ได้โปรดจงเย็น ๆ รัฐบาลกำลังจะเข้ามาแก้ปัญหาให้เราแล้ว เห็นว่า ปี 61 ราคาพืชผลทางการเกษตรจะดีขึ้น อดทนอีกนิดนะพวกเรา