บทสรุป 4 ลีกดังยุโรป ได้แชมป์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ได้แชมป์ไปกันครบเรียบร้อยแล้วสำหรับลีกดังลีกใหญ่ของยุโรป ไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีกอังกฤษ บุนเดสลีกาเยอรมัน ลาลีกา สเปน และกัลโช่ ซีรี่เอ อิตาลี ที่กลับมาฟาดแข้งกันต่อหลังจากพักเบรกเนื่องจากสถานการณ์โควิด -19 ที่น่าสนใจคือเมื่อได้แชมป์และปิดฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อยบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ก็จะกลับมาเตะในฟุตบอลถ้วยยุโรปกันต่อ ก่อนที่จะทยอยกันกลับมาเปิดฤดูกาลอีกครั้งก็ถือเป็นกำไรของแฟนบอลที่จะได้มีฟุตบอลดูกันตลอด

เยอรมัน อิตาลี แชมป์วังวลเดิม สเปนแชมป์เปลี่ยนมือ อังกฤษ ลิเวอร์พูลสร้างประวัติศาสตร์         

คงจะมีเพียงแค่พรีเมียร์ลีกเท่านั้นที่ทีมแชมป์ดูจะมีสีสันเนื่องจากเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล กับการรอคอยมานาน 30 ปี ทำให้บรรดาเดอะค็อปทั่วโลกต่างพากันฉลองกันยกใหญ่ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทยที่ต่างพากันขึ้นรถแห่แชมป์กันอย่างถ้วนหน้า ส่วน บุนเดสลีกา กับ กัลโช ซี่รี่เอ ก็ยังคงเป็นเจ้าเดิม บาร์เยิร์น มิวนิค และ ยูเวนตุส เจ้าเก่า ยังไร้เทียมทาน ไม่มีใครมาล้มได้ จนบางที อาจจะสร้างความน่าเบื่อให้กับฟุตบอลทั้ง 2 ลีกนี้ก็ได้ กับการที่เล่นยังไงก็ยังไม่มีทีมไหนที่จะสามารถสร้างทีมให้มีความทัดเทียมกับพวกเขาได้ ส่วนลาลีกาสเปน ฤดูกาลนี้ แชมป์ตกเป็นของเรอัล มาดริด ภายใต้การคุมทีมของ ซีเนอดีน ซีดาน ที่สามารถแย่งแชมป์มาจากบาเซโลน่าได้ โดยในฤดูกาลนี้มาดริดทำแต้มห่างบาเซโลน่าถึง 5 คะแนน ถือเป็นความสำเร็จของราชันชุดขาวไป ส่วนบาเซโลน่าที่ดูจะมีปัญหานักเตะเริ่มโรยรา ในฤดูกาลหน้าอาจจะต้องมีการผ่าตัดทีมชุดใหญ่ไม่เว้นแม้แต่ผู้จัดการทีม

จบบอลลีก เปลี่ยนบรรยากาศไปฟาดกันในถ้วยยุโรป

หลังจากจบฤดูกาลภายในลีกของแต่ละชาติแล้ว บรรดายักษ์ใหญ่ของแต่ละลีกก็จะกลับมาฟาดแข้งกันในถ้วยสโมสรยุโรป ทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก และ ยูโรป้าลีก ซึ่งขณะนี้อยู่ในเส้นทางรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ทางยูฟ่าได้กำหนดโปรแกรมการแข่งขันมาแล้วโดยถ้วยแชมเปี้ยนลีก จะเตะกันในวันที่ 7-8 สิงหาคมนี้ โดยยึดเตะที่รังเหย้าของทีมเจ้าบ้านตามเดิม โปรแกรมจะประกอบด้วย ยูเวนตุส-โอลิมปิก ลียง, แมนเชสเตอร์ ซิตี้-เรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิก-เชลซี และ บาร์เซโลนา-นาโปลี

ส่วนถ้วยยูโรปา ลีก จะแข่งขันกันช่วงวันที่ 5-6 สิงหาคม ประกอบด้วย ชัคตาร์ โดเน็ทส์ค-โวล์ฟสบวร์ก, ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน-เรนเจอร์ส, วูล์ฟแฮมป์ตัน-โอลิมเปียกอส, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด-ลาสค์ ลินซ์, บาเซิล-ไอน์ทรัคท์ แฟรงค์เฟิร์ต, เอฟซี โคเปนเฮเกน-อิสตันบูล บาซัคเซฮิร โดยมีอีกสองคู่ที่ต้องไปหวดแข้งที่สนามกลางในเยอรมันแบบนัดเดียว เนื่องจากยังไม่เริ่มแข่งขันตั้งแต่เกมนัดแรก นำโดย เกตาเฟ-อินเตอร์ มิลาน และ โรมา-เซบียา

ถือว่าเป็นสีสันใหม่และความยากลำบากของวงการฟุตบอลเลยก็ว่าได้สำหรับการที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด -19 ระบาดไปทั่วโลก แต่เห็นได้ว่าถึงแม้เชื้อโรคจะร้ายแรงเพียงใดก็ไม่อาจทำลายสีสันของเกมฟุตบอลไปได้เลย เพราะเมื่อมนุษย์เรามีใจรักในเกมฟุตบอลก็ย่อมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีเกมฟุตบอลแข่งขันและได้รับชมกันต่อไป


โอกาสคว้าแชมป์ยูโรป้าลีก สมัยที่ 2 ของปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

เมื่อพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019-2020 ปิดฉากรูดม่าน ปิดฤดูกาลไปแล้วบรรดาทีมที่อยู่ในเส้นทางฟุตบอลยุโรปก็จะกลับมาฟาดแข้งในฟุตบอลถ้วยยุโรปกันอีกครั้งหลังจากหยุดพักจากสถานการณ์โควิด -19 เช่นเดียวกันกับปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่จะกลับมาฟาดแข้งในรายการยูโรป้า ลีก อีกครั้ง

สถานการณ์ ณ ขณะนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ในเส้นทางรอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดที่ 2 โดยนัดแรกสามารถบุกไปเอาชนะลินซ์จากออสเตรียได้ถึง 5-0 ทำให้สถานการณ์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ณ ขณะนี้ ถือว่ามีโอกาสเข้ารอบต่อไปสดใสพอสมควร แล้วจะมีโอกาสแค่ไหนที่พวกเขาจะกรุยทางไปคว้าแชมป์รายการนี้อีกครั้ง

มองเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ต้องถือว่ามองข้ามไปที่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเลยก็ว่าได้สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยขณะนี้ ยูฟ่าได้มีการประกบคู่และโปรแกรมการแข่งขันในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นต้นไปเรียบร้อยแล้ว โดยรอบ 8 ทีมสุดท้าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดซึ่งน่าจะเข้ารอบแน่นอนแล้วจากผลชนะในนัดแรก 0-5 จะเข้าไปพบกับผู้ชนะระหว่าง อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ (ตุรกี) และ เอฟซี โคเปนเฮเก้น (เดนมาร์ก) ซึ่งถ้ามองตามคุณภาพของทีมต้องบอกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะผ่านทั้งผู้ชนะของคู่นี้ได้แบบสบาย ส่วนในรอบรองชนะเลิศ ก็มีโอกาสที่จะพบกับ ผู้ชนะระหว่างในรอบ 16 ทีมคู่ระหว่างโอลิมเปียกอส (กรีซ) / วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส (อังกฤษ) ซึ่งจะมาพบกับคู่ชนะระหว่าง เซบีย่า (สเปน) / โรม่า (อิตาลี) ในรอบ 8 ทีม ซึ่งถ้ามองตรงนี้ ทีมที่น่าจะมาพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในรอบรองชนะเลิศมีความเป็นไปได้ทั้ง วูล์ฟแฮมตัน เซบีย่า และโรม่า ซึ่งถ้ามองประสบการณ์ในถ้วย ยูโรป้าแล้ว เซบีย่าน่าจะเป็นทีมที่ได้เปรียบที่สุด ส่วนอีกสายจะเป็นการเจอกันของ

คู่ที่ 1 – โวล์ฟสบวร์ก (เยอรมนี) / ชัคห์ตาร์ โดเน็ตส์ค (ยูเครน) พบ ไอน์ทรัคท์ แฟร้งค์เฟิร์ต (เยอรมนี) / เอฟซี บาเซิ่ล (สวิตเซอร์แลนด์)

คู่ที่ 3 – อินเตอร์ มิลาน (อิตาลี) / เคตาเฟ่ (สเปน) พบ เรนเจอร์ส (สกอตแลนด์) / ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น (เยอรมนี)

ในส่วนของสายนี้ต้องบอกว่ามีความสูสีกันหมดซึ่งถ้าแมนฯ ยู มีโอกาสเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศก็จะเป็นคู่ชิงที่น่าจะสูสีพอสมควร

ตัวแปรสำคัญในการเป็นแชมป์สมัยที่ 2 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดน่าจะอยู่ที่รอบรองชนะเลิศ ซึ่งมองว่าเซบีย่าน่าจะเป็นทีมที่อันตรายที่สุด เพราะเคยเขี่ยแมนฯยู ตกรอบมาแล้วในหลายปีก่อน แต่เมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ถ้าโซลชาวางแท็กติคที่ดี ไม่มีผู้เล่นตัวหลักเจ็บเชื่อว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดน่าจะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปได้ ส่วนถ้ามีโอกาสเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว ถึงตอนนั้นเจอใครก็คงเหมือนกัน ระดับนักเตะสายพันธ์อสูรแล้ว ขอแค่ตัวหลักอยู่กันครบน่าจะคว้าแชมป์ได้ไม่ยาก


การกลับมาอีกครั้งของ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ในศึกยูฟ่า ยูโรป้าลีก

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำตลอดฤดูกาลที่แล้ว แม้โชเซ่ มูรินโญ่จะถูกเด้งออกจากทีมไป แต่กุนซือคนใหม่อย่างโอเล่ กุนนาร์ โซลชาก็ไม่อาจปลุกวิญญาณปีศาจแดงให้ฟื้นขึ้นมาได้ จนจบด้วยอันดับ 6 บนตารางพรีเมียร์ลีก และต้องไปเล่นยูฟ่า ยูโรป้าลีก ในปีนี้ด้วยฐานะทีมเต็งแชมป์ โดยการจับสลากรอบแบ่งกลุ่มที่เพิ่งผ่านไป ปีศาจแดงได้เพื่อนร่วมกลุ่ม L อย่างอาสตาน่า จากคาซัคสถาน, ปาร์ติซาน เบลเกรด จากเซอร์เบีย และ อาแซด อัลค์มาร์ จากเนเธอร์แลนด์ แม้แต่ละทีมดูจะไม่ใช่งานยากสำหรับแมนฯ ยูไนเต็ด แต่ทั้งสามทีมกลับสร้างความลำบากในเรื่องการเดินทางไกลให้ทีมจากอังกฤษอย่างเลี่ยงไม่ได้ มาดูกันว่าปีศาจแดงต้องพบอะไรบ้างในศึกยูฟ่า ยูโรป้าลีก รอบแบ่งกลุ่มหนนี้

อาสตาน่า : คาซัคสถาน

                อาสตาน่า ตั้งอยู่ในเมืองหลวงประเทศคาซัคสถาน แม้จะก่อตั้งทีมได้เพียง 10 ปี แต่ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกคาซัคสถานได้สำเร็จในปี 2018 ซึ่งใช้นักเตะส่วนใหญ่จากประเทศของตัวเอง อาสตาน่าเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลยุโรปมาตลอดตั้งแต่ฤดูกาล 2013-14 โดยทำผลงานดีที่สุดด้วยการผ่านเข้าถึงรอบ 32 ทีมสุดท้ายเมื่อฤดูกาล 2017-18 ก่อนจะถูกสปอร์ตติ้ง ลิสบอนเขี่ยตกรอบไป ผู้เล่นที่น่าจับตามองคือ มาริน โทมาซอฟ ปีกชาวโครเอเชียดาวซัลโวประจำทีม

ปาร์ติซาน เบลเกรด : เซอร์เบีย

ปาร์ติซาน เบลเกรด ทีมจากเมืองหลวงของประเทศเซอร์เบีย และแชมป์บอลถ้วยของเซอร์เบียร์ ถือเป็นอีกหนึ่งทีมขาประจำในศึกยูโรป้าลีก แต่ส่วนใหญ่มักจะไปได้ไม่ไกลกว่ารอบแบ่งกลุ่มนี้เอง มีเพียงฤดูกาล 2017-18 ที่สามารถผ่านเข้ารอบ 32 ทีมสุดท้ายได้ในฐานะรองแชมป์กลุ่ม C ก่อนจะพ่ายให้กับทีมจากสาธารณรัฐเช็กตกรอบไป ถ้าใครทีติดตามข่าวสารจาก VWIN เสมอ จะรู้ทันทีว่าผู้เล่นที่น่าจับตามองคงหนีไม่พ้น โซรัน โทซิช อดีตนักเตะปีศาจแดงในช่วงปี 2009-2010 ปีกชาวเซอร์เบียมีทั้งเทคนิคและความเร็ว แต่ด้วยความที่มีคริสเตียโน่ โรนัลโด้ขวางทางอยู่ เขาจึงอำลาทีมไปอย่างรวดเร็วเพื่อความต้องการลงสนามที่มากขึ้น

อาแซด อัลค์มาร์ : เนเธอร์แลนด์

อาแซด อัลค์มาร์ ทีมอับดับ 4 จากลีกดัตช์เมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นการกลับมาสู่ยูโรป้าลีกรอบแบ่งกลุ่มอีกครั้ง หลังจากหายหน้าไปถึง 2 ฤดูกาล โดยหนสุดท้ายที่เข้ามาเล่นในฤดูกาล 2016-17 สามารถผ่านเข้าไปเจอลียงในรอบ 32 ทีมสุดท้าย ก่อนจะโดนถล่มทั้งสองนัด  ผู้เล่นที่น่าจับตามอง อุสซามา ไอดริสซี่ ปีกทีมชาติโมร็อคโค ที่ทำประตูในลีกดัตช์ไปแล้ว 3 ประตูจาก 4 นัดในปีนี้

เมื่อสถานการณ์ในเกมลีกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยังไม่สู้ดีนัก โซลชาน่าจะสั่งให้ลูกทีมเน้นเป็นพิเศษในฟุตบอลยุโรป เพราะแชมป์ยูโรป้าลีก ถือเป็นการการันตีเส้นทางสู่ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในปีหน้าทันที เหมือนที่โชเซ่ มูรินโญ่ พาปีศาจแดงคว้าแชมป์ยุโรปใบเล็กนี้มาได้สำเร็จเมื่อ 3 ปีก่อน