การเมืองไม่นิ่งเศรษฐกิจไทยก็โอนเอน เรื่องเกี่ยวเนื่องที่กระทบปากท้องของคนไทย

หลังผ่านการเลือกตั้งมาร่วมเดือนแล้ว ก็ยังดูเหมือนว่าประเทศไทยเราจะยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการเมือง และมีการคาดการณ์กับความไม่แน่นอนทางการเมืองนี้ไปต่าง ๆ นานา ยิ่งเรื่องการเมืองดูจะเป็นปัญหายืดเยื้อส่อเค้าว่าจะมีความไม่ลงรอยกันแบบนี้ยิ่งกระทบกับเศรษฐกิจในภาครวมของประเทศ และกระทบกับความเชื่อมั่นในการลงทุนทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นักวิเคราะห์คาดการณ์ GDP ปีนี้จะลดลง

จากความวิตกในเรื่องการเมืองของไทยที่ยังไม่แน่นอน บวกกับปัญหาที่เป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจโลกจากต่างประเทศมากมาย อย่างเรื่องสงครามการค้าจีนกับสหรัฐอเมริกา ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจในจีน ปัญหา Brexit ในอังกฤษที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ล้วนเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลให้นักลงทุนยังไม่กล้าที่จะทำอะไรในช่วงนี้ นั่นทำให้นักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการของไทยจากหลายสำนักคาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ของไทยในปีนี้จะโตลดลงจาก 3.5-4.8% เหลือเพียงแค่ 3.5-4.0% เท่านั้น ซึ่งนักวิเคราะห์เรื่องเศรษฐกิจต่างมองไปในทางเดียวกันว่า ปัจจัยใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยน่าจะชะลอตัวไปอีกสักระยะใหญ่ ๆ ก็คือ ปัจจัยภายในประเทศซึ่งนั่นก็คือ เรื่องการเมืองนั่นเอง การเมืองที่ไม่มีทางออกไม่มีความชัดเจนและดูเหมือนจะได้มาซึ่งรัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพน่าจะสร้างความวิตกและไม่มั่นใจอย่างมากต่อการตัดสินใจในภาคการลงทุนต่าง ๆ การบริโภคของประชาชนในประเทศก็น่าจะมีแนวโน้มลดลงด้วย ซึ่งนั่นจะส่งผลให้เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทยยังคงซบเซาต่อไปอีกเป็นปีแน่นอน

หลายภาคส่วนคาดหวังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะแก้ปัญหาปากท้องได้

ไม่ว่าภาคประชาชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ต่างก็คาดหวังไปในทางเดียวกันว่า การเมืองจะมีทางออกได้ในเร็ววันและรัฐบาลใหม่จะเข้ามาแก้ไขและปลดล็อกรัฐธรรมนูญในหลายมาตรา สามารถที่จะนำมาประเทศไทยไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยและฟื้นเศรษฐกิจแก้ปัญหาปากท้องได้ในเร็ววัน มีกฎหมายหลายข้อน่าจะต้องถูกหยิบยกขึ้นมาปัดฝุ่นและถกกันใหม่ อย่างเรื่องของการพนันออนไลน์ หวยออนไลน์ การทำให้การพนันเป็นเรื่องที่เปิดกว้างมากขึ้น เพื่อใช้ธุรกิจเหล่านี้เป็นช่องทางสร้างรายได้และกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีคาสิโนออนไลน์เกิดขึ้นอยู่หลายแห่ง เว็บไซต์คาสิโนออนไลน์แห่งหนึ่ง คือ VWIN ที่เปิดให้บริการรับพนันกีฬาออนไลน์ เป็นตัวอย่างที่ดีว่า สามารถดำเนินการได้ประสบความสำเร็จและสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะมีนักพนันทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าไปใช้บริการกันมาก สะท้อนให้เห็นว่า หากภาครัฐมีแนวนโยบายที่ดี และมีความเข้มงวดในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันมากว่าเดิม จริงจังกับเรื่องนี้ โอกาสที่จะทำให้ธุรกิจสีเทา หรือ ธุรกิจใต้ดิน ให้ขึ้นมาอยู่บนดินได้อย่างถูกกฎหมาย และสามารถใช้เป็นช่องทางสร้างรายได้เข้าประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ดี โดยไม่ต้องไปขูดรีดภาษีจากประชาชน

นี่จึงเป็นความหวังของคนไทยทั้งประเทศในขณะนี้ที่หวังว่า การเมืองของไทยจะไร้ซึ่งความขัดแย้ง หันหน้าเข้าหากันและสร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้ได้ เมื่อการเมืองมั่นคง การออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะทำได้ง่าย การผ่านร่างกฎหมายที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศก็จะผ่านอย่างฉลุย ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ได้ว่า ปัญหาการเมืองไทยจะคลี่คลายไปเมื่อไหร่ คนไทยจึงคงต้องอดทนรอกันต่อไป


ลงทุนแบบไหนในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ ที่ไม่เจ๊ง และมีความเสี่ยงน้อย

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุควิกฤติ ข้าวยากหมากแพง ค่าครองชีพสูง รายได้แต่ละเดือนแทบไม่พอกับรายจ่าย เกิดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม คนรวยก็รวยเอาแบบไม่รู้จะเอาเงินไปเก็บที่ไหน ส่วนคนจนก็จนแบบชักหน้าไม่ถึงหลัง มีแค่ค่าเลี้ยงชีพให้อยู่ได้ไปวัน ๆ เท่านั้น ซึ่งปัญหานี้มีมานานมากและมันไม่เคยหมดไปจากสังคมไทย

ดังนั้นการจะลงทุนทำธุรกิจอะไรคุณจะต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน ว่ากลุ่มผู้บริโภคของคุณคือใคร หากเป็นกลุ่มคนรวยมีฐานะคุณก็จะต้องสร้างแบรนด์ที่ดี น่าเชื่อถือ สร้างสินค้าที่มีคุณค่าต่อความรู้สึกที่กลุ่มคนเหล่านี้พร้อมจะควักเงินจ่าย แต่หากเป็นกลุ่มคนรากหญ้า สินค้าและบริการนั้นจะต้องจำเป็นจริง ๆ ที่พวกเค้าจะต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่งในวันนี้เรามีแนวคิดในการทำธุรกิจให้เหมาะสมกับยุคเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน

แนวคิดการลงทุนไม่ให้เจ๊งในยุคเศรษฐกิจแบบนี้

1.เลือกกลุ่มผู้บริโภค

คุณต้องเลือกก่อนว่าต้องการขายสินค้าและบริการให้คนกลุ่มไหน คุณมีงบประมาณที่จะลงทุนเท่าไหร่  ที่เหมาะสมกับการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนั้นได้ เช่น คุณมีทุนอยู่ 30,000 คุณก็ต้องเลือกกลุ่มผู้บริโภคระดับรากหญ้าหรือปานกลาง ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าเค้าจะมาซื้อสินค้าและบริการของคุณ

2.วิเคราะห์และดูความต้องการของตลาด

 คุณต้องดูว่าตลาดผู้บริโภคนั้น ต้องการอะไรมากที่สุดในยุคเศรษฐกิจซบเซาแบบนี้ อะไรที่ยังคงขายได้ และจะไม่มีวันตกเทรนด์ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ในครัวเรือน เป็นต้น คุณจะต้องวิเคราะห์มันออกมาให้เห็นภาพชัดเจน

3.มีความชำนาญในธุรกิจที่จะทำ หากคุณมีความชำนาญในธุรกิจที่คุณทำ ก็จะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าพึงพอใจในสินค้าและบริการของคุณได้ แต่หากคุณรักชอบที่จะทำแต่ยังไม่มีความชำนาญก็ต้องฝึกฝนพัฒนาตนเองจนมีความเป็นมืออาชีพเสียก่อนถึงจะเปิดธุรกิจ อย่ากระโดดไปทำในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดเด็ดขาด

4.ศึกษาข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับธุรกิจ ดูความคุ้มค่า คุณต้องศึกษาถึงต้นทุนทั้งหมดที่ต้องลงทุนในครั้งแรก ในแต่ละวันแต่ละเดือน ว่ามันคุ้มค่าไหมกับรายได้ที่คุณจะได้กลับมา

5.วางแผนธุรกิจในทุกขั้นตอน

ตั้งแต่การเลือกทำเลที่ตั้งที่ดี อาจทำแบบสอบถามคนระแวกนั้นว่าหากมีธุรกิจหรือร้านค้าแบบนี้มาเปิด พวกเค้าจะเข้าไปอุดหนุนไหม รูปแบบร้านค้าหรือออฟฟิศของเรา จะต้องดูดีและเหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคของเรา

6.ทำการตลาดทุกช่องทาง

ไม่ว่าจะเป็นการแจกโบรชัวร์ การติดป้ายโฆษณา การโฆษณาทางออนไลน์ เพื่อทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักและสร้างยอดขายที่ดีได้

และทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวคิดในการทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงน้อยในยุคเศรษฐกิจซบเซา และโอกาสที่จะเจ๊งก็ไม่มี หากคุณนำแนวคิดทั้งหมดนี้ไปใช้ ที่สำคัญจะทำธุรกิจอะไร ควรลงทุนด้วยแรง และสมอง ให้มากกว่าการลงทุนด้วยเงิน


พัฒนาอุตสาหกรรม มุ่งมั่นพัฒนา ก้าวล้ำนำไทยสู่สากล

ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (กนศ.) เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา ที่ประชุมให้ความเห็นชอบพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดระยองได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนิคมอุตสาหกรรมเหมราช มีพื้นที่รวมกว่า 3,666 ไร่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรองรับการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรม และได้ดำเนินการไปแล้วตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังเปิดเผยอีกว่า ตนเองได้เป็นประธานในการขยายเขตนิคมอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการลงทุนของอีอีซีเพิ่มขึ้นอีก 18 แห่ง รวมพื้นที่ได้ 8.034 หมื่นไร่ และพื้นที่ดังกล่าวสามารถรองรับการลงทุนได้ถึง 2.416 หมื่นไร่ โดยพื้นที่ที่มีการขยายได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี ระยอง และจุดสำคัญที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือการขยายพื้นที่อุตสาหกรรมในจังหวัดระยอง ที่จะเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างไทย – จีน โดยจะประกาศเป็นพื้นที่รองรับนักลงทุนจากประเทศจีน รัฐมนตรีว่าการการทรวงอุตสาหกรรมกล่าว

เริ่มตั้งแต่ต้นปี ดูท่าว่าความเผ็ดร้อนทางด้านการลงทุน การขยายเศรษฐกิจ จะร้อนแรงกว่าทุกปี อาจจะเป็นเพราะนานาประเทศต่างก็เตรียมความพร้อมของตัวเอง เพื่อให้สามารถแข็งขันกับประเทศอื่น และประเทศไทยเองก็เช่นกัน ในห้วงเวลาที่ผ่านมาไทยเองก็ได้รับความไว้วางใจจากประเทศสมาชิกเพิ่มมากขึ้น ทั้งในด้านการเมือง นโยบายผู้อพยพ นโยบายทางด้านการแก้ปัญหาประมง แม้การแก้ไขปัญญาที่กล่าวมาอาจจะยังไม่บรรลุผล 100% แต่ก็เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ได้รับความมั่นใจจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในการขยายเขตอุตสาหกรรมดังกล่าวเรียกว่าเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าประชาชนคนไทยกว่าร้อยละ 70% ประกอบอาชีพการเกษตร ก็ด้วยเมืองไทยเป็นเมืองเกษตรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นต้องมองให้แยกส่วน แต่ต้องพัฒนาไปพร้อมกัน ไม่ใช่จะพัฒนาด้านใดหนึ่งเพียงด้านเดียว มีตัวอย่างให้เห็นอยู่บ้าง สำหรับการพัฒนาเกษตรกรรมให้สอดคล้องกับ “ยุค 4.0” เช่น การใช้โดรนในการพ่นยา หรือ ให้ปุ๋ยพืชในสวน โดยที่คนทำหน้าที่เพียงเป็นผู้บังคับเท่านั้น ตรงนี้มองว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก หากการกระทำดังกล่าวเป็นไปอย่างกว้างขวาง เข้าถึงทุกภูมิภาคของประเทศ แต่ความเป็นจริงแล้วต้องไม่ลืมว่า คนไทยบางส่วน (ในชนบท) ยังขาดความรู้ในเรื่องเทคโนโลยี อาจจะด้วยเพราะไม่มีคนสอน หรือจะด้วยเพราะหัวโบราณอันนี้ก็แล้วแต่ แต่ที่ชัดเจนคือเขาไม่สามารถที่จะนำเอาเทคโนโลยีเช่นว่าไปใช้กับอาชีพของตัวเองได้ เพราะฉะนั้นเทคโนโลยีนี้จึงเข้าถึงเพียงบางกลุ่มบางภาคของประเทศเท่านั้น

ดังนั้น เมื่อมีการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมก็ควรมีการส่งเสริมการพัฒนาด้านการเกษตรไปพร้อม ๆ กัน หน่วยงานไหน ฝ่ายไหนที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรต้องเข้ามาสร้างบทบาทในการหาแนวทางเพื่อพัฒนาภาคเกษตรกรรมไม่ให้ล้าหลังจนเกินไป หรืออย่างน้อยก็ให้ดำรงอยู่ได้ โดยไม่ถูกกดดันจากภายนอก

Category :  ข่าวเศรษฐกิจไทย

Tag : เศรษฐกิจอุตสาหกรรม,  การลงทุน, เกษตรกรรม

เครดิตภาพ : https://goo.gl/pkTQ84


แรงงานไทยเตรียมเฮ!  รองรับแผนพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจรัสเซีย

ปี 2561 นับเป็นอีกหนึ่งปีทองที่ประเทศไทยมีเกณฑ์จะดวงขึ้น เพราะเป็นที่หมายตาต้องใจของบรรดามหาประเทศที่สนใจอยากเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจ อย่าง จีน ญี่ปุ่น จะว่าไปจีน ญี่ปุ่นนั้นถือเป็นประประเทศพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์กับไทยมาช้านาน แต่ที่น่าจับตามองอย่าใกล้ชิดอีกหนึ่งประเทศคือ สหพันธรัฐรัสเซีย

ซึ่งอีกเดือนสองเดือนข้างหน้า นักธุรกิจระดับ “บิ๊กบอส” ของรัสเซีย ทั้งจากภาครัฐและเอกชน มีแผนบินข้ามทวีปมาศึกษาแนวทางในการลงทุนร่วมกับไทย และไทยก็พร้อม Welcome ด้วยความยินดียิ่ง หากการมาเยือนของรัสเซียในครั้งนี้เป็นไปตามแผนที่มีการวางเอาไว้ คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมของไทย รวมกว่า 10 สาขา ประสบผลสำเร็จสมดังหมาย รับรองว่าประชากรไทยที่ว่างงานกว่า 11 ล้านคน คงได้ยิ้มออก ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่หากว่ารัสเซียเกิดสนใจเข้ามาร่วมลงทุนกับไทยจริง ๆ ที่น่าจับตามองอย่างไม่อาจละสายตาได้คือ คณะที่จะเดินทาเข้ามาเยือนไทยในครั้งนี้ เรียกว่าเป็นจ้าวแห่งวิทยาการ ที่เชี่ยวชาญสาขาวิชาต่าง ๆ เช่น การก่อสร้าง การบิน โลจิสติกส์ พลังงาน ฯลฯ แต่ละอย่างล้วนมีประโยชน์กับประเทศไทยทั้งสิ้น สาเหตุที่รัสเซียหันมาสนใจลงทุนจับมือกับประเทศไทยนั้นสืบเนื่องมาจาก รอยแผลเก่าเมื่อครั้งอดีต ที่เคยโดนเพื่อน ๆ หักหลัง ชีวิตมันต้องเดินต่อไป ก็เลยหันมาไทย

ประเทศไทยไม่ใช่เป็นประเทศเดียวที่อยู่ในความสนใจของรัสเซีย ยังมี “เวียดนาม” อีกหนึ่งประเทศที่รัสเซียให้ความสนใจไม่แพ้ไทย เมื่อไทยมีคู่แข็ง ส่วนที่เกี่ยวข้องก็จำเป็นต้องสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน เพื่อมัดใจให้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างบางประการที่ไทยอาจจะได้เปรียบเวียดนาม ซึ่งเกี่ยวข้องกับในส่วนของเป้าหมายการลงทุน ซึ่งไทยเน้นและสนับสนุนการลงทุนในด้านอุตสาหกรรมระดับสูง ในส่วนของเวียดนามเน้นเพียงการลงทุนในอุตสาหกรรมทั่วไป ตรงนี้อาจทำให้ไทยได้เปรียบก็เป็นได้ เพราะอาจตรงกับเป้าหมายการลงทุนของสหพันธรัฐฯ

สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ให้ความเห็นผ่านสื่อว่า การค้าไทย รัสเซียมีแนวโน้มจะมีมูลค้าถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือว่ามีมูลค่ามหาศาลทีเดียว และแน่นอนหากถึงเป้าจริง แรงงานไทยต้องมีผลพลอยได้อย่างไม่ต้องหลีกเลี่ยงแน่

ส่วนรัสเซียเองเศรษฐกิจในประเทศก็มีแนวโน้มจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุการณ์สำคัญสองประการ คือ ฟุตบอลโลกที่จะเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน-ถึงพฤษภาคม และแน่นอนว่ารัสเซียเป็นเจ้าภาพ และในเดือนมีนาคมนี้ที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของรัสเซียอีก งานนี้ไทยมีแต่ได้กับได้

หาก”บิ๊กโปรเจกต์” ประสบผลสำเร็จ คงถึงเวลาแล้ว ที่จะได้ลืมตาอ้าปากกันซักที

Category: เศรษฐกิจไทย

Tag : ข่าวเศรษฐกิจ, รัสเซีย, การลงทุน

 

เครดิตภาพ : https://goo.gl/G2gcmb